Category: ไม่มีหมวดหมู่

  • บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    วิทยากร: แอดทอย แห่ง DataRockie
    งาน: CTC2025


    แนวคิดหลักของการบรรยายนำเสนอ “The Art of Living – Generalism 101” ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายผ่านการเป็น “เป็ดโปร” (Generalist) ผู้มีความสามารถหลากหลายและยึดมั่นในคุณธรรมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าแนวทางของ Generalism คือเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีขึ้น


    บทที่ 1: ชีวิตนั้นเปราะบาง (Life is Fragile)

    • ชีวิตมนุษย์มีความเปราะบางสูง เราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดและตระหนักว่าเวลาของคนรอบข้างก็มีจำกัดเช่นกัน
    • โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าที่สุดของชีวิต คือการมีอายุยืนยาวแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับไม่พบว่าตนเองได้สร้างสรรค์สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ทิ้งไว้
    • ตามแนวคิดของ Generalist และปรัชญาสโตอิก (Stoic) ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรตระหนักและเกรงกลัวมากกว่าคือการไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
    • เราจึงควรตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า “เราควรใช้ชีวิตแบบไหน” และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เสมือนว่าเป็นวันสุดท้าย

    บทที่ 2: เวลานั้นมีค่า (Time is Precious)

    • เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเราทุกคนมีเวลาจำกัดและไม่สามารถย้อนกลับได้ (Irreversible)
    • ควรจัดสรรเวลาให้แก่บุคคลที่สำคัญและเป็นที่รัก แทนที่จะทุ่มเทให้กับการทำงานเพียงอย่างเดียว
    • ความมั่งคั่งที่แท้จริง (True Wealth) ประกอบด้วย 5 มิติ ซึ่งต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน:

      True Wealth = Time × Social (Family) × Mental × Health × Money

      (ความมั่งคั่งที่แท้จริง = เวลา × ความสัมพันธ์ทางสังคม × สุขภาพจิต × สุขภาพกาย × เงิน)

      หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีค่าเป็นศูนย์ สมการทั้งหมดจะพังทลาย การมีเงินแต่ไม่มีสุขภาพหรือเวลา จึงไม่มีความหมาย
    • บุคคลจะตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ดังนั้น เมื่อต้องการทำสิ่งใด ควรลงมือทำทันที

    บทที่ 3: คุณธรรมคือสิ่งสูงสุด (The Highest Good)

    • คุณธรรม หรือความดี (Virtue) คือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เหนือกว่าเงินทองและชื่อเสียง
    • ตามหลักปรัชญาสโตอิก ความสุขและอิสรภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความดี
    • สังคมปัจจุบันมักให้คุณค่ากับเงินทองมากกว่าความเป็นมนุษย์ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตในเส้นทางใด
    • ควรเริ่มต้นจากการเลือกเป็นคนดีและกระทำในสิ่งที่ดี แล้วสิ่งอื่นๆ ที่ดีจะตามมาเอง

    บทที่ 4: คู่มือชีวิตที่ขาดหายไป (A Life’s Missing Manual)

    • เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือ Eudaimonia หรือการเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตนเอง (Human Flourishing)
    • หลักการสามเหลี่ยมของสโตอิก (Stoic Triangle) ประกอบด้วย:
      1. Arete (Live with Excellence): การยึดมั่นในคุณงามความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด
      2. Focus on what you can control: การมุ่งความสนใจไปที่ความคิดและการกระทำของตนเอง
      3. Take Responsibility: การรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
    • หลักการสำคัญ 4 ประการของปรัชญาสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนเพื่อสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีได้:
      1. Wisdom (ปัญญา): ความรู้ความเข้าใจโลก และการรู้ถึงผลลัพธ์ระยะยาวของการกระทำ
      2. Courage (ความกล้าหาญ): ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
      3. Justice (ความยุติธรรม): ความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อส่วนรวม
      4. Discipline (วินัย): การควบคุมตนเอง รู้จักพอ และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ
    • เป้าหมายของ Eudaimonia คือการสร้างตนเองให้มีคุณค่ามากที่สุด ผ่านการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในทุกวัน โดยทักษะสำคัญคือการเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ (Perpetual Learner)

    บทที่ 5: อิสรภาพแห่งความเป็นเลิศ (Freedom of Excellence)

    • อิสรภาพที่แท้จริงไม่ใช่การทำได้ทุกสิ่ง แต่คือการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญและไม่ทำลายอิสรภาพของตนเองในระยะยาว
    • ควรสร้าง “กรอบ” ในการใช้ชีวิต โดยเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ “ทำได้” (Can Do) ไปสู่สิ่งที่ “ควรทำ” (Should Do)
    • อิสรภาพที่แท้จริงเกิดจากการมีข้อจำกัดที่เหมาะสม และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลสามารถควบคุมและปกครองตนเองได้

    Freedom of Excellence:

    Freedom of Excellence จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อจำกัดในชีวิตบางอย่าง หากเราอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น เราจะเลือกทำอะไรตามใจไม่ได้ เราต้องปฏิเสธสิ่งที่ให้ความสุขชั่วคราว เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าระยะยาว

    นี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างปรัชญา Generalist กับ Stoicism – อิสรภาพที่เกิดจากข้อจำกัดและการสร้างวินัยในการใช้ชีวิต

    ECS Framework สำหรับการพัฒนาตัวเอง:

    E – Energy (พลังงาน): การมีพลังงานที่เพียงพอในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่

    C – Confidence (ความมั่นใจ): ความเชื่อมั่นในตนเองที่เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์

    S – Skill (ทักษะ): ความสามารถเฉพาะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน

    การพัฒนาทั้งสามด้านนี้อย่างสมดุลจะนำไปสู่ “Doable Greatness” หรือความยิ่งใหญ่ที่ทำได้จริง


    บทที่ 6: ใช้ชีวิตด้วยความกล้าหาญ (Live with Courage)

    • ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณธรรมข้ออื่นๆ ของสโตอิก
    • ความกลัวที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่เป็นความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะรับมือกับสิ่งนั้น
    • ความกล้าหาญคือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดี คือการกล้าที่จะแสวงหาความรู้, กล้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และกล้าที่จะมีวินัยกับตนเอง

    คำถามสำคัญ:

    • หากเราไม่มีความกลัว เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
    • เรากลัววิกฤตเศรษฐกิจ หรือกลัวว่าเราไม่เก่งพอที่จะรับมือ?

    บทที่ 7: เรียนรู้ที่จะรัก (Learn to Love)

    • การรักผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะลูกหลาน ไม่ใช่การทำให้พวกเขาสบายตลอดเวลา แต่คือการปล่อยให้เขาได้เผชิญความยากลำบาก เพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
    • เช่นเดียวกัน การรักตนเองคือการไม่ตามใจด้วยสิ่งไร้สาระ แต่คือการผลักดันตนเองให้พัฒนาไปสู่เวอร์ชันที่ดีขึ้น

    หลักการ:

    • เลือกทำสิ่งยากในปัจจุบัน เพื่อชีวิตที่ง่ายในอนาคต
    • ทุกสิ่งมีทั้งได้และเสีย
    • การรักตนเองที่แท้จริงคือการพัฒนาตนเอง

    บทที่ 8: เรียนรู้ที่จะคิด (Learn to Think)

    ในโลกนี้มีเพียง 2% ที่คิดจริง 3% ที่คิดว่ากำลังคิด และ 95% ที่ยอมตายดีกว่าคิด คนที่คิดเป็นจะอยู่รอดและแทนที่คนที่ไม่ใช้ความคิด

    • “มนุษย์ที่คิดเป็นจะแทนที่มนุษย์ที่คิดไม่เป็น” ไม่ใช่ AI ที่จะมาแทนที่มนุษย์
    • ควรใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และเสริมสร้างความสามารถ ไม่ใช่ให้ทำงานแทนทั้งหมด
    • ควร “Search ให้เยอะและ Serve ให้น้อย” คือการกระตือรือร้นค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ระบบป้อนมาให้
    • ควรเปลี่ยนจากการใช้แรงงาน (Labour) มาเป็นการใช้ความคิด (Mind) ในการสร้างคุณค่า

    หมายเหตุ : หากใครสนใจเรื่อง เรียนรู้ที่จะคิด Learn to Think ผมได้เขียนบทความไว้ เกี่ยวกับเรืิ่อง ผู้ชนะ 10 คิด เป็นเรื่อง การคิด 10 มิติ สามารถเข้าไปดูที่ 👇
    https://wkdateam.com/2024/07/31/winner-10-think/


    บทที่ 9: มาตรวัดที่แท้จริงของชีวิต (True Measurement of Life)

    หน่วยวัดเดียวที่จะวัดชีวิตของเรา คือ การเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ เราไม่ใช่คนเก่งที่สุดในโลก และไม่จำเป็นต้องเป็น

    • การวัดคุณค่าและความสำเร็จที่แท้จริงคือการเปรียบเทียบตนเองในวันนี้กับตนเองในวันวาน ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น
    • ไม่ควรยึดติดกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) แต่ควรเป็น Generalist ที่เรียนรู้รอบด้านและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกวัน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
    • การจะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการ “ลงมือทำ” โดยเริ่มต้นจากการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน และทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองสู่จุดสูงสุดได้

    ข้อสรุป

    “Generalism builds skills, Stoicism builds character.”

    การเป็น Generalist ช่วยสร้างทักษะ ส่วนปรัชญาสโตอิกช่วยสร้างบุคลิกภาพ การใช้ชีวิต คือ การเป็น (Living = Being)

    ข้อคิดสำคัญสุดท้าย:

    • คุณไม่สามารถเป็นเพียงคนเก่งอย่างเดียวได้ คุณต้องเป็นคนดีด้วย
    • หากต้องการเป็นใคร ให้คิดแล้วลงมือทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นคนนั้น
    • การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นเส้นทางสู่ชีวิตที่มีความหมาย

    แนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน:

    สำหรับ Generalist:

    • เรียนรู้ทักษะใหม่อย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้เก่งที่สุด
    • สะสมทักษะที่เสริมกันและกัน (Skill Stacking)
    • มุ่งเน้น “Doable Greatness” มากกว่าความสมบูรณ์แบบ
    • ใช้ ECS Framework ในการพัฒนา: Energy, Confidence, Skill

    สำหรับ Stoicism:

    • ฝึกควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
    • ยึดมั่นใน 4 คุณธรรมหลัก: ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม วินัย
    • สร้างข้อจำกัดที่เหมาะสมเพื่อความเป็นเลิศ
    • ใช้เวลาอย่างมีสติและมีคุณค่า

    การบูรณาการทั้งสองแนวทาง:

    การเป็น Generalist ที่ยึดหลัก Stoicism จะสร้างบุคคลที่มีทั้งความสามารถหลากหลายและมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาความดีงามและคุณค่าที่สำคัญไว้ได้


    แนวคิดเสริมจากปรัชญา Generalism และ Stoicism

    ทำไมต้องเป็น Generalist มากกว่า Specialist?

    การเป็น Specialist ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม โอกาสทางสังคม ฐานะครอบครัว ในขณะที่การเป็น Generalist เป็นทางเลือกที่เราสามารถควบคุมและพัฒนาได้เอง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Talent:

    “Talent” ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด แต่เป็นการรับรู้ (Perception) ที่คนอื่นมองมาที่เรา หากเรามีทักษะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยในหลายๆ ด้าน คนรอบข้างจะมองเราเป็น “Talent” แล้ว

    Energy vs. Passion:

    Scott Adams ผู้แต่ง “How to Fail at Almost Everything and Still Win Big” เสนอแนวคิดว่า Energy สำคัญกว่า Passion เพราะ:

    • Passion อาจหายไปเมื่อพบอุปสรรค
    • Energy ช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากได้
    • คนที่มี Energy สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ดีกว่า

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    บทสรุปสุดท้าย:

    การมองย้อนกลับมาวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ จะทำให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสุขกับการเดินทางของชีวิต ไม่ว่าเราจะเลือกเป็น Generalist หรือยึดมั่นในหลัก Stoicism สิ่งสำคัญคือการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

  • ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ทฤษฎีของบลูม (Bloom’s taxonomy): ระดับความรู้ 6 ระดับ

    Bloom’s Taxonomy เป็นการจัดระดับความรู้ที่แบ่งออกเป็น 6 ระดับจากพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง โดยแต่ละระดับมีการใช้คำกริยาเฉพาะเพื่อแสดงถึงทักษะหรือการกระทำในระดับนั้น ๆ ดังนี้:

    1. จำ (Remember)
      • คำอธิบาย: การจำหรือระลึกถึงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ข้อเท็จจริง คำจำกัดความ หรือหลักการต่าง ๆ
      • คำกริยา: จำ, รู้, ท่อง, ระลึก, แยกแยะ, จดจำ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนจำวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้
    2. เข้าใจ (Understand)
      • คำอธิบาย: การเข้าใจความหมายของข้อมูลและสามารถแปลความหมายหรืออธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้
      • คำกริยา: อธิบาย, สรุป, บรรยาย, แปลความ, จัดเรียง, เปรียบเทียบ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนอธิบายได้ว่าทำไมสงครามโลกครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น
    3. ใช้ (Apply)
      • คำอธิบาย: การนำความรู้หรือข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง
      • คำกริยา: ใช้, ประยุกต์, ปฏิบัติ, แก้ไข, ดำเนินการ, นำไปใช้
      • ตัวอย่าง: นักเรียนใช้สูตรคณิตศาสตร์ในการแก้โจทย์ปัญหา
    4. วิเคราะห์ (Analyze)
      • คำอธิบาย: การแยกแยะส่วนประกอบของข้อมูลและเห็นความสัมพันธ์หรือโครงสร้างของข้อมูล
      • คำกริยา: วิเคราะห์, แยกแยะ, ตรวจสอบ, วินิจฉัย, สำรวจ, สืบค้น
      • ตัวอย่าง: นักเรียนวิเคราะห์องค์ประกอบของเรื่องสั้นและวิจารณ์ว่าอะไรทำให้เรื่องนั้นน่าสนใจ
    5. ประเมินผล (Evaluate)
      • คำอธิบาย: การตัดสินหรือประเมินคุณค่าของข้อมูล วิธีการ หรือผลงาน โดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนด
      • คำกริยา: ประเมิน, ตัดสิน, วิจารณ์, ให้คะแนน, เปรียบเทียบ, ตัดสินใจ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนประเมินผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์และสรุปว่าได้ผลตามที่คาดหวังหรือไม่
    6. สร้างสรรค์ (Create)
      • คำอธิบาย: การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยการรวมข้อมูลและความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกันอย่างมีนวัตกรรม
      • คำกริยา: สร้าง, ออกแบบ, คิดค้น, วางแผน, ประดิษฐ์, พัฒนา
      • ตัวอย่าง: นักเรียนออกแบบโครงการวิจัยใหม่เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน

    =======================================================

    ตัวอย่างการใช้คำกริยาใน Bloom’s Taxonomy

    1. จำ (Remember): ท่องจำคำศัพท์ใหม่, รู้วันสำคัญทางประวัติศาสตร์
    2. เข้าใจ (Understand): อธิบายแนวคิดหลักของบทเรียน, สรุปเรื่องราวในหนังสือ
    3. ใช้ (Apply): ประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการแก้ปัญหาจริง, ปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลอง
    4. วิเคราะห์ (Analyze): วิเคราะห์เหตุผลของเหตุการณ์ทางการเมือง, แยกแยะส่วนประกอบของกลไก
    5. ประเมินผล (Evaluate): ตัดสินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล, วิจารณ์ผลงานศิลปะ
    6. สร้างสรรค์ (Create): ออกแบบแอปพลิเคชันใหม่, สร้างบทประพันธ์ใหม่

    =======================================================

    7 ข้อคิดจากหนังสือ
    Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา


    หนังสือที่ทำให้เป็นคุณในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

    1. เมื่อคุณเข้าใจเรื่องกรอบความคิด ว่าคนเราสามารถที่จะเปลี่ยนและเติบโตขึ้นได้แม้เราจะไม่ได้ฉลาดที่สุด เราจะค้นพบโลกใบใหม่
    2. จริงๆ แล้ว คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) คาดหวังความสามารถที่จะแสดงออกมาได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเรียนรู้ใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งการคิดแบบนั้นทำให้เราคิดว่าเราไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ได้เลย
    3. ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) คือคนที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และพร้อมเดินไปข้างหน้าเสมอ เราเปลี่ยนแปลงได้ เก่งขึ้นได้
    4. คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) มักจะหนีปัญหา มากกว่ายอมรับและเผชิญหน้า
    5. คุณจะไม่ได้รับกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) อยู่เฉยๆ หรือรอให้มันเข้ามา เราจะได้มาด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเดินทางของชีวิต
    6. ในฐานะผู้นำที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) พวกเขาเริ่มต้นจากความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์และการพัฒนาทั้งของตนเองและของผู้อื่น
    7. การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ไม่เคยได้ยินใครบอกว่ามันไม่คุ้มค่าเลย จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

    “ทุกบทเรียนผ่านคือการเติบโต
    ไม่มีปัญหาไหนใหญ่เกินกว่าตัวเราจะแก้ไข”