วิทยากร: แอดทอย แห่ง DataRockie
งาน: CTC2025
แนวคิดหลักของการบรรยายนำเสนอ “The Art of Living – Generalism 101” ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายผ่านการเป็น “เป็ดโปร” (Generalist) ผู้มีความสามารถหลากหลายและยึดมั่นในคุณธรรมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าแนวทางของ Generalism คือเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีขึ้น

บทที่ 1: ชีวิตนั้นเปราะบาง (Life is Fragile)
- ชีวิตมนุษย์มีความเปราะบางสูง เราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดและตระหนักว่าเวลาของคนรอบข้างก็มีจำกัดเช่นกัน
- โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าที่สุดของชีวิต คือการมีอายุยืนยาวแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับไม่พบว่าตนเองได้สร้างสรรค์สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ทิ้งไว้
- ตามแนวคิดของ Generalist และปรัชญาสโตอิก (Stoic) ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรตระหนักและเกรงกลัวมากกว่าคือการไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
- เราจึงควรตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า “เราควรใช้ชีวิตแบบไหน” และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เสมือนว่าเป็นวันสุดท้าย

บทที่ 2: เวลานั้นมีค่า (Time is Precious)
- เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเราทุกคนมีเวลาจำกัดและไม่สามารถย้อนกลับได้ (Irreversible)
- ควรจัดสรรเวลาให้แก่บุคคลที่สำคัญและเป็นที่รัก แทนที่จะทุ่มเทให้กับการทำงานเพียงอย่างเดียว
- ความมั่งคั่งที่แท้จริง (True Wealth) ประกอบด้วย 5 มิติ ซึ่งต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน:
True Wealth = Time × Social (Family) × Mental × Health × Money
(ความมั่งคั่งที่แท้จริง = เวลา × ความสัมพันธ์ทางสังคม × สุขภาพจิต × สุขภาพกาย × เงิน)
หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีค่าเป็นศูนย์ สมการทั้งหมดจะพังทลาย การมีเงินแต่ไม่มีสุขภาพหรือเวลา จึงไม่มีความหมาย - บุคคลจะตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ดังนั้น เมื่อต้องการทำสิ่งใด ควรลงมือทำทันที

บทที่ 3: คุณธรรมคือสิ่งสูงสุด (The Highest Good)
- คุณธรรม หรือความดี (Virtue) คือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เหนือกว่าเงินทองและชื่อเสียง
- ตามหลักปรัชญาสโตอิก ความสุขและอิสรภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความดี
- สังคมปัจจุบันมักให้คุณค่ากับเงินทองมากกว่าความเป็นมนุษย์ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตในเส้นทางใด
- ควรเริ่มต้นจากการเลือกเป็นคนดีและกระทำในสิ่งที่ดี แล้วสิ่งอื่นๆ ที่ดีจะตามมาเอง

บทที่ 4: คู่มือชีวิตที่ขาดหายไป (A Life’s Missing Manual)
- เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือ Eudaimonia หรือการเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตนเอง (Human Flourishing)
- หลักการสามเหลี่ยมของสโตอิก (Stoic Triangle) ประกอบด้วย:
- Arete (Live with Excellence): การยึดมั่นในคุณงามความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด
- Focus on what you can control: การมุ่งความสนใจไปที่ความคิดและการกระทำของตนเอง
- Take Responsibility: การรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
- หลักการสำคัญ 4 ประการของปรัชญาสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนเพื่อสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีได้:
- Wisdom (ปัญญา): ความรู้ความเข้าใจโลก และการรู้ถึงผลลัพธ์ระยะยาวของการกระทำ
- Courage (ความกล้าหาญ): ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
- Justice (ความยุติธรรม): ความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อส่วนรวม
- Discipline (วินัย): การควบคุมตนเอง รู้จักพอ และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ
- เป้าหมายของ Eudaimonia คือการสร้างตนเองให้มีคุณค่ามากที่สุด ผ่านการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในทุกวัน โดยทักษะสำคัญคือการเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ (Perpetual Learner)

บทที่ 5: อิสรภาพแห่งความเป็นเลิศ (Freedom of Excellence)
- อิสรภาพที่แท้จริงไม่ใช่การทำได้ทุกสิ่ง แต่คือการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญและไม่ทำลายอิสรภาพของตนเองในระยะยาว
- ควรสร้าง “กรอบ” ในการใช้ชีวิต โดยเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ “ทำได้” (Can Do) ไปสู่สิ่งที่ “ควรทำ” (Should Do)
- อิสรภาพที่แท้จริงเกิดจากการมีข้อจำกัดที่เหมาะสม และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลสามารถควบคุมและปกครองตนเองได้
Freedom of Excellence:
Freedom of Excellence จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อจำกัดในชีวิตบางอย่าง หากเราอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น เราจะเลือกทำอะไรตามใจไม่ได้ เราต้องปฏิเสธสิ่งที่ให้ความสุขชั่วคราว เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าระยะยาว
นี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างปรัชญา Generalist กับ Stoicism – อิสรภาพที่เกิดจากข้อจำกัดและการสร้างวินัยในการใช้ชีวิต
ECS Framework สำหรับการพัฒนาตัวเอง:
E – Energy (พลังงาน): การมีพลังงานที่เพียงพอในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่
C – Confidence (ความมั่นใจ): ความเชื่อมั่นในตนเองที่เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์
S – Skill (ทักษะ): ความสามารถเฉพาะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน
การพัฒนาทั้งสามด้านนี้อย่างสมดุลจะนำไปสู่ “Doable Greatness” หรือความยิ่งใหญ่ที่ทำได้จริง

บทที่ 6: ใช้ชีวิตด้วยความกล้าหาญ (Live with Courage)
- ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณธรรมข้ออื่นๆ ของสโตอิก
- ความกลัวที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่เป็นความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะรับมือกับสิ่งนั้น
- ความกล้าหาญคือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดี คือการกล้าที่จะแสวงหาความรู้, กล้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และกล้าที่จะมีวินัยกับตนเอง
คำถามสำคัญ:
- หากเราไม่มีความกลัว เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
- เรากลัววิกฤตเศรษฐกิจ หรือกลัวว่าเราไม่เก่งพอที่จะรับมือ?

บทที่ 7: เรียนรู้ที่จะรัก (Learn to Love)
- การรักผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะลูกหลาน ไม่ใช่การทำให้พวกเขาสบายตลอดเวลา แต่คือการปล่อยให้เขาได้เผชิญความยากลำบาก เพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
- เช่นเดียวกัน การรักตนเองคือการไม่ตามใจด้วยสิ่งไร้สาระ แต่คือการผลักดันตนเองให้พัฒนาไปสู่เวอร์ชันที่ดีขึ้น
หลักการ:
- เลือกทำสิ่งยากในปัจจุบัน เพื่อชีวิตที่ง่ายในอนาคต
- ทุกสิ่งมีทั้งได้และเสีย
- การรักตนเองที่แท้จริงคือการพัฒนาตนเอง

บทที่ 8: เรียนรู้ที่จะคิด (Learn to Think)
ในโลกนี้มีเพียง 2% ที่คิดจริง 3% ที่คิดว่ากำลังคิด และ 95% ที่ยอมตายดีกว่าคิด คนที่คิดเป็นจะอยู่รอดและแทนที่คนที่ไม่ใช้ความคิด
- “มนุษย์ที่คิดเป็นจะแทนที่มนุษย์ที่คิดไม่เป็น” ไม่ใช่ AI ที่จะมาแทนที่มนุษย์
- ควรใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และเสริมสร้างความสามารถ ไม่ใช่ให้ทำงานแทนทั้งหมด
- ควร “Search ให้เยอะและ Serve ให้น้อย” คือการกระตือรือร้นค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ระบบป้อนมาให้
- ควรเปลี่ยนจากการใช้แรงงาน (Labour) มาเป็นการใช้ความคิด (Mind) ในการสร้างคุณค่า
หมายเหตุ : หากใครสนใจเรื่อง เรียนรู้ที่จะคิด Learn to Think ผมได้เขียนบทความไว้ เกี่ยวกับเรืิ่อง ผู้ชนะ 10 คิด เป็นเรื่อง การคิด 10 มิติ สามารถเข้าไปดูที่ 👇
https://wkdateam.com/2024/07/31/winner-10-think/

บทที่ 9: มาตรวัดที่แท้จริงของชีวิต (True Measurement of Life)
หน่วยวัดเดียวที่จะวัดชีวิตของเรา คือ การเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ เราไม่ใช่คนเก่งที่สุดในโลก และไม่จำเป็นต้องเป็น
- การวัดคุณค่าและความสำเร็จที่แท้จริงคือการเปรียบเทียบตนเองในวันนี้กับตนเองในวันวาน ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น
- ไม่ควรยึดติดกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) แต่ควรเป็น Generalist ที่เรียนรู้รอบด้านและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกวัน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
- การจะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการ “ลงมือทำ” โดยเริ่มต้นจากการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน และทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองสู่จุดสูงสุดได้
ข้อสรุป
“Generalism builds skills, Stoicism builds character.”
การเป็น Generalist ช่วยสร้างทักษะ ส่วนปรัชญาสโตอิกช่วยสร้างบุคลิกภาพ การใช้ชีวิต คือ การเป็น (Living = Being)
ข้อคิดสำคัญสุดท้าย:
- คุณไม่สามารถเป็นเพียงคนเก่งอย่างเดียวได้ คุณต้องเป็นคนดีด้วย
- หากต้องการเป็นใคร ให้คิดแล้วลงมือทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นคนนั้น
- การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นเส้นทางสู่ชีวิตที่มีความหมาย
แนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน:
สำหรับ Generalist:
- เรียนรู้ทักษะใหม่อย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้เก่งที่สุด
- สะสมทักษะที่เสริมกันและกัน (Skill Stacking)
- มุ่งเน้น “Doable Greatness” มากกว่าความสมบูรณ์แบบ
- ใช้ ECS Framework ในการพัฒนา: Energy, Confidence, Skill
สำหรับ Stoicism:
- ฝึกควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
- ยึดมั่นใน 4 คุณธรรมหลัก: ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม วินัย
- สร้างข้อจำกัดที่เหมาะสมเพื่อความเป็นเลิศ
- ใช้เวลาอย่างมีสติและมีคุณค่า
การบูรณาการทั้งสองแนวทาง:
การเป็น Generalist ที่ยึดหลัก Stoicism จะสร้างบุคคลที่มีทั้งความสามารถหลากหลายและมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาความดีงามและคุณค่าที่สำคัญไว้ได้
แนวคิดเสริมจากปรัชญา Generalism และ Stoicism
ทำไมต้องเป็น Generalist มากกว่า Specialist?
การเป็น Specialist ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม โอกาสทางสังคม ฐานะครอบครัว ในขณะที่การเป็น Generalist เป็นทางเลือกที่เราสามารถควบคุมและพัฒนาได้เอง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Talent:
“Talent” ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด แต่เป็นการรับรู้ (Perception) ที่คนอื่นมองมาที่เรา หากเรามีทักษะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยในหลายๆ ด้าน คนรอบข้างจะมองเราเป็น “Talent” แล้ว
Energy vs. Passion:
Scott Adams ผู้แต่ง “How to Fail at Almost Everything and Still Win Big” เสนอแนวคิดว่า Energy สำคัญกว่า Passion เพราะ:
- Passion อาจหายไปเมื่อพบอุปสรรค
- Energy ช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากได้
- คนที่มี Energy สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ดีกว่า
การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:
ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว
การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:
ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว
บทสรุปสุดท้าย:
การมองย้อนกลับมาวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ จะทำให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสุขกับการเดินทางของชีวิต ไม่ว่าเราจะเลือกเป็น Generalist หรือยึดมั่นในหลัก Stoicism สิ่งสำคัญคือการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ




