Category: Mindset

  • สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza อธิบายจิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจของลูกค้า ว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อ (หรือไม่ซื้อ) โดยใช้แนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” บนสายพานลำเลียงในสมองของลูกค้า ลูกค้าจะยังไม่ตัดสินใจซื้อจนกว่าจะได้รับข้อมูลครบทั้ง 7 ใบนี้ตามลำดับที่ถูกต้อง

    กระเป๋าทั้ง 7 ใบประกอบด้วย: 1. ปัญหา (The Problem) 2. วิธีแก้ปัญหา (The Solution) 3. กลุ่มเป้าหมายที่เจาะจง (The Target Profile) 4. ตัวกระตุ้น (The Trigger) 5. ข้อโต้แย้ง (The Objections) 6. คำรับรองจากลูกค้า (The Testimonials) และ 7. การขจัดความเสี่ยง (Risk-Reversal)

    หนังสือเล่มนี้มอบโครงสร้างที่ชัดเจนในการสื่อสารการตลาด เพื่อสร้างความไว้วางใจ ลดความลังเล และป้องกันไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ทำให้คุณปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    กระเป๋า 7 ใบที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยตามลำดับ มีดังนี้ครับ

    1. The Problem (ปัญหา): นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุด สมองของมนุษย์ถูกสร้างมาให้สนใจ “ปัญหา” ก่อนสิ่งอื่นใด การสื่อสารของคุณจึงควรเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ เพื่อดึงความสนใจของพวกเขาทันที
    2. The Solution (ทางแก้): หลังจากที่คุณชี้ให้เห็นปัญหาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มมองหาทางออก “ทางแก้” ของคุณคือสิ่งที่มาช่วยคลายความกังวลนั้น มันควรจะเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาและเป็นเหมือนภาพสะท้อนของปัญหาที่กล่าวไปก่อนหน้า
    3. The Target Profile (กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน): แทนที่จะทำการตลาดกับ “กลุ่มคน” จำนวนมาก ให้คุณเลือกสื่อสารกับ “คนเพียงคนเดียว” ที่เป็นตัวแทนของลูกค้าในอุดมคติ การทำเช่นนี้จะทำให้ข้อความของคุณเจาะจงและทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันพูดถึงปัญหาและความต้องการของคนๆ นั้นโดยตรง
    4. The Objections (ข้อโต้แย้ง): ข้อโต้แย้งไม่ใช่สัญญาณของการปฏิเสธ แต่เป็นสัญญาณว่าลูกค้า “สนใจ” แต่ยังมีข้อกังวลอยู่ หน้าที่ของคุณคือการนำข้อโต้แย้งที่คาดว่าลูกค้าจะมีขึ้นมาพูดก่อน และอธิบายเพื่อทำลายข้อกังวลเหล่านั้นอย่างโปร่งใส
    5. The Testimonials (คำรับรองจากลูกค้า): คำรับรองคือเครื่องมือพิสูจน์ที่ทรงพลังจากบุคคลที่สาม หนังสือแนะนำให้ใช้ “Reverse Testimonial” ซึ่งเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความลังเลหรือข้อสงสัยของลูกค้าคนก่อนหน้า แล้วจึงตามด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่พวกเขาได้รับ วิธีนี้ทำให้คำรับรองดูน่าเชื่อถือและจริงใจยิ่งขึ้น
    6. The Risk Reversal (การขจัดความเสี่ยง): นี่คือการรับประกันที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยในการตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่แค่การคืนเงิน แต่ควรรวมถึงการขจัด “ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่” ที่ลูกค้าอาจนึกไม่ถึงด้วย การมีนโยบายที่ชัดเจนจะแสดงให้เห็นว่าคุณมั่นใจในสินค้าและบริการของคุณมากเพียงใด
    7. The Uniqueness (ความมีเอกลักษณ์): สุดท้าย ลูกค้าต้องรู้ว่า “ทำไมต้องซื้อจากคุณ” ไม่ใช่คู่แข่ง ความมีเอกลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ค้นหา” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “สร้างขึ้น” โดยเลือกจุดเด่นเพียง “หนึ่งเดียว” แล้วสร้างธุรกิจทั้งหมดของคุณรอบๆ จุดเด่นนั้น

    โดยสรุป The Brain Audit คือกระบวนการสื่อสารที่เป็นระบบและเป็นไปตามลำดับขั้นการทำงานของสมอง เพื่อนำลูกค้าเดินทางตั้งแต่การรับรู้ปัญหาไปจนถึงการตัดสินใจซื้ออย่างมั่นใจและปราศจากความลังเลครับ

    แล้วจะปรับใช้งานกับงานตำรวจได้อย่างไร

    เราสามารถนำแนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” จาก The Brain Audit มาประยุกต์ใช้กับอาชีพตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนเป้าหมายจาก “การขายสินค้า” เป็น “การสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือจากประชาชน” แทนครับ

    เป้าหมาย: สร้างความร่วมมือจากประชาชนในโครงการ “ชุมชนปลอดภัย”

    กระเป๋าใบที่ 1: ปัญหา (The Problem)

    • แนวคิด: เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ประชาชนรู้สึกกังวลและเดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่พูดภาพกว้างๆ
    • การประยุกต์ใช้: แทนที่จะบอกว่า “เราจะมาปราบปรามอาชญากรรม” ให้เจาะจงไปที่ปัญหาที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่จริงๆ
    • ตัวอย่าง: ในการประชุมกับชาวบ้าน อาจจะเริ่มต้นว่า “หลายท่านในที่นี้คงกังวลกับปัญหาแก๊งวัยรุ่นที่รวมตัวส่งเสียงดังและสร้างความเดือดร้อนในสวนสาธารณะตอนกลางคืนใช่ไหมครับ?” การพูดแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของคนที่ประสบปัญหานี้โดยตรงได้ทันที

    กระเป๋าใบที่ 2: วิธีแก้ปัญหา (The Solution)

    • แนวคิด: เสนอทางออกที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย เป็นเหมือนด้านตรงข้ามของปัญหา
    • การประยุกต์ใช้: บอกให้ชัดเจนว่าตำรวจจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้น ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน
    • ตัวอย่าง: “เรามีแผนที่จะเพิ่มสายตรวจเดินเท้าเข้ามาในสวนสาธารณะทุกคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เพื่อแก้ปัญหานี้ครับ”

    กระเป๋าใบที่ 3: กลุ่มเป้าหมาย (The Target Profile)

    • แนวคิด: สื่อสารราวกับกำลังพูดกับ “คนคนเดียว” ที่มีปัญหานั้นจริงๆ ไม่ใช่พูดกับคนหมู่มาก
    • การประยุกต์ใช้: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี
    • ตัวอย่าง: “เราเข้าใจดีว่าสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ หรือผู้สูงอายุที่ต้องการพักผ่อน เสียงดังในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

    กระเป๋าใบที่ 4: ตัวกระตุ้น (The Trigger)

    • แนวคิด: รวมเอา “กลุ่มเป้าหมาย + ปัญหา + วิธีแก้ปัญหา” มาสร้างเป็นประโยคที่กระตุ้นความสนใจ
    • การประยุกต์ใช้: ใช้เป็นหัวข้อในการประชาสัมพันธ์โครงการหรือการประชุม
    • ตัวอย่าง: “สำหรับครอบครัวในชุมชนที่เดือดร้อนจากปัญหาวัยรุ่นเสียงดัง: ตำรวจเตรียมส่งสายตรวจเดินเท้าเข้าดูแลสวนสาธารณะทุกคืนเพื่อคืนความสงบสุขให้ท่าน”

    กระเป๋าใบที่ 5: ข้อโต้แย้ง (The Objections)

    • แนวคิด: นำข้อกังขาหรือความไม่เชื่อมั่นของประชาชนขึ้นมาพูดก่อน เพื่อแสดงความเข้าใจและสร้างความน่าเชื่อถือ
    • การประยุกต์ใช้: ตำรวจต้องยอมรับและชิงพูดถึงข้อกังวลที่ประชาชนมักจะมีต่อการทำงานของตำรวจ
    • ตัวอย่าง: “หลายท่านอาจจะคิดว่า ‘เดี๋ยวตำรวจก็มาแค่ช่วงแรกๆ แล้วก็หายไป’ เราเข้าใจดีครับ นั่นคือเหตุผลที่เราจะมีการตั้งตู้แดงและให้ประชาชนร่วมลงชื่อการตรวจทุกคืน เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าเราจะทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง”

    กระเป๋าใบที่ 6: คำรับรอง (The Testimonials)

    • แนวคิด: ใช้เสียงจากบุคคลที่สาม หรือเรื่องราวความสำเร็จ มายืนยันว่าวิธีนี้ได้ผลจริง
    • การประยุกต์ใช้: ยกตัวอย่างความสำเร็จจากชุมชนอื่นที่เคยมีปัญหาคล้ายกัน
    • ตัวอย่าง: “ในชุมชนข้างเคียงที่เคยมีปัญหาแบบเดียวกัน หลังจากเราใช้มาตรการนี้เป็นเวลา 1 เดือน ปัญหาลดลงกว่า 90% ซึ่งได้รับการยืนยันจากประธานชุมชนที่นั่นครับ”

    กระเป๋าใบที่ 7: การขจัดความเสี่ยง (Risk Reversal)

    • แนวคิด: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการให้ความร่วมมือกับตำรวจนั้น “ไม่มีความเสี่ยง” สำหรับพวกเขา
    • การประยุกต์ใช้: สร้างหลักประกันความปลอดภัยและความสะดวกใจให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือให้ความร่วมมือ
    • ตัวอย่าง: “สำหรับการแจ้งเบาะแสเพิ่มเติม เรามีช่องทางสายตรงที่ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้แจ้ง และข้อมูลของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับสูงสุด เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”

    👉การนำแนวคิดนี้มาใช้ จะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของตำรวจจาก “การสั่งการ” ให้กลายเป็น “การสร้างบทสนทนา” ที่เข้าถึงและเข้าใจประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความไว้วางใจและความร่วมมือในระยะยาว ครับ 😂

  • การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    วิธีการแบ่งงานออกเป็น 4 ด้าน (Matrix: Importance vs. Effort)

    แนวคิดนี้ใช้หลักการ การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix) โดยการพิจารณา 2 ปัจจัยหลักคือ:

    • แกนแนวตั้ง : ความสำคัญของงาน (สำคัญมาก ↔ สำคัญน้อย)
    • แกนแนวนอน : ความยากหรือง่ายในการทำงาน (ทำง่าย ↔ ทำยาก)

    เมื่อจัดลงไปในตาราง 2×2 เราจะได้งาน 4 ประเภทที่สามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะโฟกัสอะไร ควรเลื่อนอะไรออกไป และควรหาความช่วยเหลือในงานไหน

    (1) งานสำคัญมาก / ทำได้ง่ายเลือกทำก่อน (Quick Wins)

    • ลักษณะงาน: งานที่สร้างคุณค่าได้มากต่อเป้าหมาย แต่ไม่ซับซ้อน ทำเสร็จได้เร็ว
    • เหตุผลที่ต้องทำก่อน: เพราะงานประเภทนี้สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยไม่เปลืองแรง
    • ตัวอย่าง: การโทรติดต่อลูกค้ารายใหญ่, การส่งอีเมลรายงานที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว, การประชุมสั้นที่ตัดสินใจได้เร็ว
    • กลยุทธ์: ประเมินงานในแต่ละวัน เลือกสิ่งที่ทั้ง “สำคัญ” และ “ง่าย” มาทำทันที เพื่อปลดล็อกความคืบหน้าเร็วที่สุด

    (2) งานสำคัญน้อย / ทำง่ายทำเมื่อมีเวลา (Fill-ins)

    • ลักษณะงาน: งานทั่วไป งานซ้ำๆ ที่ไม่ได้มีผลกระทบมากต่อเป้าหมายใหญ่ แต่จำเป็นต้องมีคนทำ
    • ช่วงเวลาที่ควรทำ: ทำในเวลาที่พลังงานลดลง เช่น บ่ายแก่ๆ หรือระหว่างรอการประชุม
    • ตัวอย่าง: การเคลียร์อีเมลทั่วไป, กรอกแบบฟอร์ม, จัดโต๊ะทำงาน, การแก้ไขเล็กน้อยในเอกสาร
    • กลยุทธ์: อย่าเอางานกลุ่มนี้ขึ้นมาแซงงานสำคัญ แต่ให้เก็บไว้จัดการช่วงที่ไม่สามารถโฟกัสงานใหญ่ได้

    (3) งานสำคัญน้อย / ทำยากเลื่อนหรือมอบหมาย (Avoid/Delegate)

    • ลักษณะงาน: งานที่ไม่สำคัญกับเป้าหมายใหญ่ แถมยังใช้พลังงานเยอะและเราอาจไม่ถนัด
    • ปัญหาที่เจอ: ทำเองเสียเวลา เสียพลัง โดยที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์คุ้มค่า
    • วิธีรับมือ:
      • เลื่อนออกไป หากไม่เร่งด่วน
      • หาตัวช่วย เช่น ให้ทีมงานที่ถนัดกว่ารับไปทำ
    • ตัวอย่าง: การทำสไลด์ออกแบบซับซ้อน, การตกแต่งเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงลึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลัก
    • กลยุทธ์: ตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่ทำเลย จะมีผลเสียจริงๆ หรือไม่” ถ้าไม่ → ลดความสำคัญลง หรือโอนงานให้คนอื่น

    (4) งานสำคัญมาก / ทำยากจัดการอย่างเป็นระบบ (Major Projects)

    • ลักษณะงาน: งานที่มีผลกระทบสูงและซับซ้อน ต้องใช้เวลาและพลังงานจำนวนมาก
    • สิ่งที่ต้องระวัง: ไม่สามารถทำให้เสร็จในครั้งเดียว ต้องวางแผน แบ่งย่อย และอาจต้องทำงานเป็นทีม
    • ตัวอย่าง: การวางกลยุทธ์องค์กร, การเขียนรายงานสืบสวนเชิงลึก, การวางระบบใหม่, การทำโครงการใหญ่
    • กลยุทธ์:
      • วางแผนระยะยาว แบ่งเป็น Milestone ย่อยๆ
      • กำหนด Deadline และจัดเวลาแบบ Block Time
      • ประสานทีมงานและสร้างความต่อเนื่อง

    วิธีใช้ Matrix นี้ในชีวิตจริง

    1. ลิสต์งานทั้งหมดออกมา → เขียนสิ่งที่ต้องทำ
    2. ประเมินความสำคัญ → งานนี้มีผลกับเป้าหมายหลักแค่ไหน
    3. ประเมินความยาก/ง่าย → ต้องใช้เวลา/ความพยายามมากน้อยเพียงใด
    4. จัดใส่ใน Matrix → เลือกว่าจะทำทันที, ทำเมื่อมีเวลา, มอบหมาย, หรือวางแผนใหญ่
    5. โฟกัสงานกลุ่ม (1) ก่อนเสมอ → เพื่อสร้าง Momentum

    สรุป

    การแบ่งงานออกเป็น 4 ด้านตามแกน ความสำคัญ และ ความยากง่าย ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดชัดเจนขึ้น เราจะรู้ว่า งานไหนควรโฟกัส, งานไหนควรเลื่อน, งานไหนควรให้คนอื่นทำ, และงานไหนต้องวางแผนจริงจัง การใช้วิธีนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เรามีวินัย จัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเวลาและพลังงานของเรา

  • บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    วิทยากร: แอดทอย แห่ง DataRockie
    งาน: CTC2025


    แนวคิดหลักของการบรรยายนำเสนอ “The Art of Living – Generalism 101” ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายผ่านการเป็น “เป็ดโปร” (Generalist) ผู้มีความสามารถหลากหลายและยึดมั่นในคุณธรรมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าแนวทางของ Generalism คือเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีขึ้น


    บทที่ 1: ชีวิตนั้นเปราะบาง (Life is Fragile)

    • ชีวิตมนุษย์มีความเปราะบางสูง เราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดและตระหนักว่าเวลาของคนรอบข้างก็มีจำกัดเช่นกัน
    • โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าที่สุดของชีวิต คือการมีอายุยืนยาวแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับไม่พบว่าตนเองได้สร้างสรรค์สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ทิ้งไว้
    • ตามแนวคิดของ Generalist และปรัชญาสโตอิก (Stoic) ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรตระหนักและเกรงกลัวมากกว่าคือการไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
    • เราจึงควรตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า “เราควรใช้ชีวิตแบบไหน” และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เสมือนว่าเป็นวันสุดท้าย

    บทที่ 2: เวลานั้นมีค่า (Time is Precious)

    • เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเราทุกคนมีเวลาจำกัดและไม่สามารถย้อนกลับได้ (Irreversible)
    • ควรจัดสรรเวลาให้แก่บุคคลที่สำคัญและเป็นที่รัก แทนที่จะทุ่มเทให้กับการทำงานเพียงอย่างเดียว
    • ความมั่งคั่งที่แท้จริง (True Wealth) ประกอบด้วย 5 มิติ ซึ่งต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน:

      True Wealth = Time × Social (Family) × Mental × Health × Money

      (ความมั่งคั่งที่แท้จริง = เวลา × ความสัมพันธ์ทางสังคม × สุขภาพจิต × สุขภาพกาย × เงิน)

      หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีค่าเป็นศูนย์ สมการทั้งหมดจะพังทลาย การมีเงินแต่ไม่มีสุขภาพหรือเวลา จึงไม่มีความหมาย
    • บุคคลจะตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ดังนั้น เมื่อต้องการทำสิ่งใด ควรลงมือทำทันที

    บทที่ 3: คุณธรรมคือสิ่งสูงสุด (The Highest Good)

    • คุณธรรม หรือความดี (Virtue) คือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เหนือกว่าเงินทองและชื่อเสียง
    • ตามหลักปรัชญาสโตอิก ความสุขและอิสรภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความดี
    • สังคมปัจจุบันมักให้คุณค่ากับเงินทองมากกว่าความเป็นมนุษย์ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตในเส้นทางใด
    • ควรเริ่มต้นจากการเลือกเป็นคนดีและกระทำในสิ่งที่ดี แล้วสิ่งอื่นๆ ที่ดีจะตามมาเอง

    บทที่ 4: คู่มือชีวิตที่ขาดหายไป (A Life’s Missing Manual)

    • เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือ Eudaimonia หรือการเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตนเอง (Human Flourishing)
    • หลักการสามเหลี่ยมของสโตอิก (Stoic Triangle) ประกอบด้วย:
      1. Arete (Live with Excellence): การยึดมั่นในคุณงามความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด
      2. Focus on what you can control: การมุ่งความสนใจไปที่ความคิดและการกระทำของตนเอง
      3. Take Responsibility: การรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
    • หลักการสำคัญ 4 ประการของปรัชญาสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนเพื่อสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีได้:
      1. Wisdom (ปัญญา): ความรู้ความเข้าใจโลก และการรู้ถึงผลลัพธ์ระยะยาวของการกระทำ
      2. Courage (ความกล้าหาญ): ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
      3. Justice (ความยุติธรรม): ความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อส่วนรวม
      4. Discipline (วินัย): การควบคุมตนเอง รู้จักพอ และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ
    • เป้าหมายของ Eudaimonia คือการสร้างตนเองให้มีคุณค่ามากที่สุด ผ่านการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในทุกวัน โดยทักษะสำคัญคือการเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ (Perpetual Learner)

    บทที่ 5: อิสรภาพแห่งความเป็นเลิศ (Freedom of Excellence)

    • อิสรภาพที่แท้จริงไม่ใช่การทำได้ทุกสิ่ง แต่คือการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญและไม่ทำลายอิสรภาพของตนเองในระยะยาว
    • ควรสร้าง “กรอบ” ในการใช้ชีวิต โดยเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ “ทำได้” (Can Do) ไปสู่สิ่งที่ “ควรทำ” (Should Do)
    • อิสรภาพที่แท้จริงเกิดจากการมีข้อจำกัดที่เหมาะสม และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลสามารถควบคุมและปกครองตนเองได้

    Freedom of Excellence:

    Freedom of Excellence จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อจำกัดในชีวิตบางอย่าง หากเราอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น เราจะเลือกทำอะไรตามใจไม่ได้ เราต้องปฏิเสธสิ่งที่ให้ความสุขชั่วคราว เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าระยะยาว

    นี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างปรัชญา Generalist กับ Stoicism – อิสรภาพที่เกิดจากข้อจำกัดและการสร้างวินัยในการใช้ชีวิต

    ECS Framework สำหรับการพัฒนาตัวเอง:

    E – Energy (พลังงาน): การมีพลังงานที่เพียงพอในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่

    C – Confidence (ความมั่นใจ): ความเชื่อมั่นในตนเองที่เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์

    S – Skill (ทักษะ): ความสามารถเฉพาะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน

    การพัฒนาทั้งสามด้านนี้อย่างสมดุลจะนำไปสู่ “Doable Greatness” หรือความยิ่งใหญ่ที่ทำได้จริง


    บทที่ 6: ใช้ชีวิตด้วยความกล้าหาญ (Live with Courage)

    • ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณธรรมข้ออื่นๆ ของสโตอิก
    • ความกลัวที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่เป็นความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะรับมือกับสิ่งนั้น
    • ความกล้าหาญคือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดี คือการกล้าที่จะแสวงหาความรู้, กล้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และกล้าที่จะมีวินัยกับตนเอง

    คำถามสำคัญ:

    • หากเราไม่มีความกลัว เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
    • เรากลัววิกฤตเศรษฐกิจ หรือกลัวว่าเราไม่เก่งพอที่จะรับมือ?

    บทที่ 7: เรียนรู้ที่จะรัก (Learn to Love)

    • การรักผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะลูกหลาน ไม่ใช่การทำให้พวกเขาสบายตลอดเวลา แต่คือการปล่อยให้เขาได้เผชิญความยากลำบาก เพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
    • เช่นเดียวกัน การรักตนเองคือการไม่ตามใจด้วยสิ่งไร้สาระ แต่คือการผลักดันตนเองให้พัฒนาไปสู่เวอร์ชันที่ดีขึ้น

    หลักการ:

    • เลือกทำสิ่งยากในปัจจุบัน เพื่อชีวิตที่ง่ายในอนาคต
    • ทุกสิ่งมีทั้งได้และเสีย
    • การรักตนเองที่แท้จริงคือการพัฒนาตนเอง

    บทที่ 8: เรียนรู้ที่จะคิด (Learn to Think)

    ในโลกนี้มีเพียง 2% ที่คิดจริง 3% ที่คิดว่ากำลังคิด และ 95% ที่ยอมตายดีกว่าคิด คนที่คิดเป็นจะอยู่รอดและแทนที่คนที่ไม่ใช้ความคิด

    • “มนุษย์ที่คิดเป็นจะแทนที่มนุษย์ที่คิดไม่เป็น” ไม่ใช่ AI ที่จะมาแทนที่มนุษย์
    • ควรใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และเสริมสร้างความสามารถ ไม่ใช่ให้ทำงานแทนทั้งหมด
    • ควร “Search ให้เยอะและ Serve ให้น้อย” คือการกระตือรือร้นค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ระบบป้อนมาให้
    • ควรเปลี่ยนจากการใช้แรงงาน (Labour) มาเป็นการใช้ความคิด (Mind) ในการสร้างคุณค่า

    หมายเหตุ : หากใครสนใจเรื่อง เรียนรู้ที่จะคิด Learn to Think ผมได้เขียนบทความไว้ เกี่ยวกับเรืิ่อง ผู้ชนะ 10 คิด เป็นเรื่อง การคิด 10 มิติ สามารถเข้าไปดูที่ 👇
    https://wkdateam.com/2024/07/31/winner-10-think/


    บทที่ 9: มาตรวัดที่แท้จริงของชีวิต (True Measurement of Life)

    หน่วยวัดเดียวที่จะวัดชีวิตของเรา คือ การเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ เราไม่ใช่คนเก่งที่สุดในโลก และไม่จำเป็นต้องเป็น

    • การวัดคุณค่าและความสำเร็จที่แท้จริงคือการเปรียบเทียบตนเองในวันนี้กับตนเองในวันวาน ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น
    • ไม่ควรยึดติดกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) แต่ควรเป็น Generalist ที่เรียนรู้รอบด้านและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกวัน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
    • การจะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการ “ลงมือทำ” โดยเริ่มต้นจากการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน และทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองสู่จุดสูงสุดได้

    ข้อสรุป

    “Generalism builds skills, Stoicism builds character.”

    การเป็น Generalist ช่วยสร้างทักษะ ส่วนปรัชญาสโตอิกช่วยสร้างบุคลิกภาพ การใช้ชีวิต คือ การเป็น (Living = Being)

    ข้อคิดสำคัญสุดท้าย:

    • คุณไม่สามารถเป็นเพียงคนเก่งอย่างเดียวได้ คุณต้องเป็นคนดีด้วย
    • หากต้องการเป็นใคร ให้คิดแล้วลงมือทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นคนนั้น
    • การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นเส้นทางสู่ชีวิตที่มีความหมาย

    แนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน:

    สำหรับ Generalist:

    • เรียนรู้ทักษะใหม่อย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้เก่งที่สุด
    • สะสมทักษะที่เสริมกันและกัน (Skill Stacking)
    • มุ่งเน้น “Doable Greatness” มากกว่าความสมบูรณ์แบบ
    • ใช้ ECS Framework ในการพัฒนา: Energy, Confidence, Skill

    สำหรับ Stoicism:

    • ฝึกควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
    • ยึดมั่นใน 4 คุณธรรมหลัก: ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม วินัย
    • สร้างข้อจำกัดที่เหมาะสมเพื่อความเป็นเลิศ
    • ใช้เวลาอย่างมีสติและมีคุณค่า

    การบูรณาการทั้งสองแนวทาง:

    การเป็น Generalist ที่ยึดหลัก Stoicism จะสร้างบุคคลที่มีทั้งความสามารถหลากหลายและมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาความดีงามและคุณค่าที่สำคัญไว้ได้


    แนวคิดเสริมจากปรัชญา Generalism และ Stoicism

    ทำไมต้องเป็น Generalist มากกว่า Specialist?

    การเป็น Specialist ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม โอกาสทางสังคม ฐานะครอบครัว ในขณะที่การเป็น Generalist เป็นทางเลือกที่เราสามารถควบคุมและพัฒนาได้เอง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Talent:

    “Talent” ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด แต่เป็นการรับรู้ (Perception) ที่คนอื่นมองมาที่เรา หากเรามีทักษะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยในหลายๆ ด้าน คนรอบข้างจะมองเราเป็น “Talent” แล้ว

    Energy vs. Passion:

    Scott Adams ผู้แต่ง “How to Fail at Almost Everything and Still Win Big” เสนอแนวคิดว่า Energy สำคัญกว่า Passion เพราะ:

    • Passion อาจหายไปเมื่อพบอุปสรรค
    • Energy ช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากได้
    • คนที่มี Energy สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ดีกว่า

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    บทสรุปสุดท้าย:

    การมองย้อนกลับมาวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ จะทำให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสุขกับการเดินทางของชีวิต ไม่ว่าเราจะเลือกเป็น Generalist หรือยึดมั่นในหลัก Stoicism สิ่งสำคัญคือการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

  • สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

    สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

    Subscribe to continue reading

    Subscribe to get access to the rest of this post and other subscriber-only content.

  • ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ทฤษฎีของบลูม (Bloom’s taxonomy): ระดับความรู้ 6 ระดับ

    Bloom’s Taxonomy เป็นการจัดระดับความรู้ที่แบ่งออกเป็น 6 ระดับจากพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง โดยแต่ละระดับมีการใช้คำกริยาเฉพาะเพื่อแสดงถึงทักษะหรือการกระทำในระดับนั้น ๆ ดังนี้:

    1. จำ (Remember)
      • คำอธิบาย: การจำหรือระลึกถึงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ข้อเท็จจริง คำจำกัดความ หรือหลักการต่าง ๆ
      • คำกริยา: จำ, รู้, ท่อง, ระลึก, แยกแยะ, จดจำ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนจำวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้
    2. เข้าใจ (Understand)
      • คำอธิบาย: การเข้าใจความหมายของข้อมูลและสามารถแปลความหมายหรืออธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้
      • คำกริยา: อธิบาย, สรุป, บรรยาย, แปลความ, จัดเรียง, เปรียบเทียบ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนอธิบายได้ว่าทำไมสงครามโลกครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น
    3. ใช้ (Apply)
      • คำอธิบาย: การนำความรู้หรือข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง
      • คำกริยา: ใช้, ประยุกต์, ปฏิบัติ, แก้ไข, ดำเนินการ, นำไปใช้
      • ตัวอย่าง: นักเรียนใช้สูตรคณิตศาสตร์ในการแก้โจทย์ปัญหา
    4. วิเคราะห์ (Analyze)
      • คำอธิบาย: การแยกแยะส่วนประกอบของข้อมูลและเห็นความสัมพันธ์หรือโครงสร้างของข้อมูล
      • คำกริยา: วิเคราะห์, แยกแยะ, ตรวจสอบ, วินิจฉัย, สำรวจ, สืบค้น
      • ตัวอย่าง: นักเรียนวิเคราะห์องค์ประกอบของเรื่องสั้นและวิจารณ์ว่าอะไรทำให้เรื่องนั้นน่าสนใจ
    5. ประเมินผล (Evaluate)
      • คำอธิบาย: การตัดสินหรือประเมินคุณค่าของข้อมูล วิธีการ หรือผลงาน โดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนด
      • คำกริยา: ประเมิน, ตัดสิน, วิจารณ์, ให้คะแนน, เปรียบเทียบ, ตัดสินใจ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนประเมินผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์และสรุปว่าได้ผลตามที่คาดหวังหรือไม่
    6. สร้างสรรค์ (Create)
      • คำอธิบาย: การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยการรวมข้อมูลและความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกันอย่างมีนวัตกรรม
      • คำกริยา: สร้าง, ออกแบบ, คิดค้น, วางแผน, ประดิษฐ์, พัฒนา
      • ตัวอย่าง: นักเรียนออกแบบโครงการวิจัยใหม่เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน

    =======================================================

    ตัวอย่างการใช้คำกริยาใน Bloom’s Taxonomy

    1. จำ (Remember): ท่องจำคำศัพท์ใหม่, รู้วันสำคัญทางประวัติศาสตร์
    2. เข้าใจ (Understand): อธิบายแนวคิดหลักของบทเรียน, สรุปเรื่องราวในหนังสือ
    3. ใช้ (Apply): ประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการแก้ปัญหาจริง, ปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลอง
    4. วิเคราะห์ (Analyze): วิเคราะห์เหตุผลของเหตุการณ์ทางการเมือง, แยกแยะส่วนประกอบของกลไก
    5. ประเมินผล (Evaluate): ตัดสินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล, วิจารณ์ผลงานศิลปะ
    6. สร้างสรรค์ (Create): ออกแบบแอปพลิเคชันใหม่, สร้างบทประพันธ์ใหม่

    =======================================================

    7 ข้อคิดจากหนังสือ
    Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา


    หนังสือที่ทำให้เป็นคุณในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

    1. เมื่อคุณเข้าใจเรื่องกรอบความคิด ว่าคนเราสามารถที่จะเปลี่ยนและเติบโตขึ้นได้แม้เราจะไม่ได้ฉลาดที่สุด เราจะค้นพบโลกใบใหม่
    2. จริงๆ แล้ว คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) คาดหวังความสามารถที่จะแสดงออกมาได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเรียนรู้ใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งการคิดแบบนั้นทำให้เราคิดว่าเราไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ได้เลย
    3. ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) คือคนที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และพร้อมเดินไปข้างหน้าเสมอ เราเปลี่ยนแปลงได้ เก่งขึ้นได้
    4. คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) มักจะหนีปัญหา มากกว่ายอมรับและเผชิญหน้า
    5. คุณจะไม่ได้รับกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) อยู่เฉยๆ หรือรอให้มันเข้ามา เราจะได้มาด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเดินทางของชีวิต
    6. ในฐานะผู้นำที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) พวกเขาเริ่มต้นจากความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์และการพัฒนาทั้งของตนเองและของผู้อื่น
    7. การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ไม่เคยได้ยินใครบอกว่ามันไม่คุ้มค่าเลย จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

    “ทุกบทเรียนผ่านคือการเติบโต
    ไม่มีปัญหาไหนใหญ่เกินกว่าตัวเราจะแก้ไข”

  • ผู้ชนะ 10 คิด

    ผู้ชนะ 10 คิด

    เมื่อ 10 กว่าปี มาแล้ว ตอนสมัยอยู่สืบภาค 8 กับ พี่ยาว (พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์) ได้มีโอกาส เรียนรู้เกี่ยวกับ แนวคิด 10 มิติ จากการฝึกอบรม Detective Team ของสืบภาค 8 เมื่อได้มีโอกาสมาทบทวน รู้สึกว่าน่าจะมีประโยชน์กับทีมงานนักสืบ จึงขอเอามาเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    การคิด 10 มิติ เป็นหนังสือชุด ชื่อ ผู้ชนะ 10 คิด ที่เขียนโดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ เป็นการคิดที่ช่วยให้มองเห็นความคิดในหลากหลายด้าน และยังนำเราไปพัฒนาความคิดในแต่ละด้านให้เราได้คิดเป็นมากขึ้น มาดูกันว่า การคิด 10 มิติ มีอะไรกันบ้าง

    1. การคิดเชิงวิพากย์ (Critical Thinking) 

    ความตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่ายๆ แต่ตั้งคำถามท้าทาย หรือโต้แย้งสมมติฐาน และข้อสมมติที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามเปิดแนวทางความคิด ออกลู่ทางต่างๆ ที่แตกต่างจากข้อเสนอนั้น เพื่อให้สามารถได้คำตอบที่สมเหตุสมผล มากกว่าข้อเสนอเดิม

    2.การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

    หมายถึง การจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น

    3.การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis-Type Thinking) 

    หมายถึง ความสามารถในการดึงองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

    4. การคิดเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking)

    หมายถึง การพิจารณาเทียบเคียงความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ระหว่างสิ่งนั้น กับสิ่งอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถอธิบายเรื่องนั้น ได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหา หรือการหาทางเลือดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

     5. การคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการประสานข้อมูลทั้งหมด ที่มีอยู่ เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด ได้อย่างไม่ขัดแย้ง แล้วนำมาสร้างเป็นความคิดรวบยอด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น

    6. การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking)

    หมายถึง การขยายขอบเขตความคิดออกไป จากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น

    7.การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการนำเอาสิ่งที่มีอยู่เดิม ไปปรับใช้ประโยชน์ในบริบทใหม่ ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงหลักการของสิ่งเดิมไว้

    8. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

    9.การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิด หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบายหรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

    10. การคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการคาดการณ์ ในอนาคต อย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม

    ผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับบรรดาเหล่านักสืบ ที่จะเอาไปปรับใช้กับการคิดในกระบวนการสืบสวนต่อไป

  • สรุปเนื้อหา ศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า

    สรุปเนื้อหา ศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า

    ผมได้มีโอกาสได้ฟัง คุณเล้ง – ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO, MFEC พูดถึงการฝึกสมดุลด้วยศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า ฟังแล้วได้ mindset ดีมาก ๆ เลยอยากจะสรุป เอามาแชร์ ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกัน

    เราอยู่ภายใต้แรงกดดันของโลกที่ทำให้เราต้องฉลาด ต้องได้เปรียบ ต้องชนะ และต้องเร็วขึ้นตลอดเวลา เราอาจไม่ทันตระหนักว่าในความเป็นจริง ทั้งชีวิตไปจนถึงหน้าที่การงานจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องมีความสมดุล

    อะไรที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ

    😀 มนุษย์เราแต่ละคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าจัดบางอย่างในชีวิตมันไม่สมดุล โดยมันเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จนเสียสมดุล ความสามารถในการเรียนรู้ในการัฒนามันก็จะหยุดอยู่กับที่ พูดง่าย ๆ “ทำอย่างไรให้มันสมดุล” ทุกอย่างมันคือสิ่งเดียวกัน แค่มีสองด้าน การที่เราให้น้ำหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง มันก็จะเสียสมดุล

    เราอยู่ในยุคที่ เราอยากถูกไม่อยากผิด เราอยากชนะไม่อยากแพ้ เราอยากฉลาดไม่อยากโง่ เราอยากได้เปรียบเราไม่อยากเสียเปรียบ เราอยากเร็วไม่อยากช้า

    “การที่ไม่เข้าใจอีกฝั่งหนึ่ง
    มันจะทำให้เราเสียสมดุล”

    คู่ที่ 1

    “ถูก | ผิด”

    ทุกคนอยากทำถูก ไม่อยากทำผิด

    เราต้องมีทัศนคติกับเรื่องที่เราทำผิด หรือ React กับสิ่งที่เราทำผิดแบบถูกต้อง มีมุมมองที่ถูกต้องต่อการทำผิด

    คนเราตั้งแต่เรียนมาก็ถูกสอนให้ทำโจทย์ให้ถูก ทำอะไรให้ถูก แล้วพอจบออกมาเราก็ได้ Pattern ว่าเราต้องเป็นคนถูก ยิ่งเราเรียนเก่ง ยิ่งเราทำงานดี เราก็ถูกไปเรื่อย ๆ ๆ พอมันไปสูดโต่ง อีกฝั่งหนึ่งเราก็ไม่ได้ฝึกเลย ก็คือ การทำผิด ถ้ายึดมั่นว่าตัวเองถูก ก็จะไม่มีภาคต่อเลย

    หากวันหนึ่ง เรามองว่าการผิดไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย การผิดมีอะไรบ้าง การยอมรับผิด การสารภาพผิด เมื่อเราผิดเราจะต้องพัฒนาความรับผิดชอบ Responsibility การที่เราจะยอมรับผิดได้ เราจะต้องพัฒนาความซื่อสัตย์ ถ้าเรารู้ว่าเราผิด เราก็มีการปรับปรุง และแก้ไข แต่ถ้าเราโฟกัสว่าเราถูกอย่างเดียวมันจบเลย…ที่เหลือไม่ต้องพัฒนาเลย เราไม่ต้องพัฒนาความรับผิดขอบ ไม่ต้องพัฒนาความซื้อสัตย์ ไม่ต้องพัฒนาการย่อมรับอะไรต่างๆ อีกเยอะ

    เวลาคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องการทำผิด มันเป็นธรรมชาติคู่กับการทำถูก แล้วไม่ได้พัฒนาในส่วนนี้ มันก็จะเหมือนกับมีความมั่นใจมากเกินไป (Overconfident) แปลว่าคนกลุ่มนี้จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ มีความสามารถในการ เห็นข้อผิดพลาดของคนอื่นได้เร็วได้ไว ขยายข้อผิดพลาดของคนอื่น เพื่อกลบจุดอ่อนข้อผิดพลาดของตนเอง

    เพราะฉะนั้น อันเริ่มต้นสุด ก็คือ เราต้องรู้ว่า เราก็เหมือนกับทุกคน มันต้องมีผิดมีถูก ต้องยอมรับ เมื่อเรายอมรับเราจะพัฒนาอีกซีกหนึ่งได้

    ทำไม่ Design Thinking ถึงได้โด่งดัง (Design Thinking – กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ) เพราะ เค้าสอนให้คน มีทัศนคิตต่อการทำผิด ไม่ซีเรียสในการทำผิด เขา React ตอบสนองกับการทำผิด ยิ่งทำผิดก็ยิ่งเรียนรู้

    การที่ผิดจะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกจะคิดไม่ออก ถ้าไม่เคยฝึกข้อผิดพลาดของเราจะเป็นอดีตเท่านั้น แต่ปัจจุบัน และอนาคต เราไม่เคยผิดเลย

    คู่ที่ 2

    “ฉลาด | โง่”

    ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากโง่

    ก่อนการจะพูดถึงคู่ฉลาดกับโง่ ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากจะโง่ คนรุ่นใหม่เค้าหาตัวเองไม่เจอ สิ่งแรกจะต้องเข้าใจ Concept เหมือนการขูดหินปูน ขูดหินปูนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะตอบว่าขูดทุกหกเดือน เพราะเรามีความรู้ว่า ไม่ว่าเราแปรงฟันดีแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เป็นหมอฟัน ในหกเดือนหินปูนก็ตามมาเกาะ

    คำถามครั้งล่าสุดที่เรากะเทาะอีโก้ เมื่อไหร่ ไม่ว่าเรารู้ตัวอย่างไรก็ตาม ภายในหกเดือน อีโก้ ก็จะมาเกาะ เราก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เริ่มต้นก่อน ต้องทำก่อนก็คือ ทำให้เราเป็นน้ำครึ่งแก้ว

    เหมือนกัน การฉลาด หรือโง่ หากว่าอีโก้มันเต็ม เราต้องทำให้มันเป็นน้ำครึ่งแก้ว เราถึงเริ่มเรียนรู้ เราจะได้เป็นคนฉลาด จะได้เก่ง

    หากถามน้อง ๆ ในทีม น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นไหน น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นโง่ ที่พี่ ๆ ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องนี้

    “จริง ๆ เวลาเราไม่รู้ เวลาเราโง่ เป็นการเยินยออีกฝ่ายหนึ่งขั้นสูงเลยนะ”

    ไม่มีใครหรอกที่ฉลาดแล้วเรียนรู้มีแต่คนที่อยู่ในสภาวะของแก้วว่าง ถึงเรียนรู้

    ความฉลาดกับอีโก้ สิ่งที่มักมาพร้อมกัน เวลาฉลาด ไม่ว่าเราพูด เราแสดงตัว จะมีอีโก้แฝงอยู่เสมอ เราต้องการฉลาดเพื่อโปรโมทตัวเอง เราต้องการฉลาดเพื่อรู้สึกว่าเหนือกว่าคนอื่น เพราะฉะนัันการที่เราแสดงความฉลาด มันจะมี อีโก้ เป็นตัวกำกับ

    คำสอนของพุทธศาสนา จริง ๆ เค้าต้องการปัญญา ปัญญา คือ การตัดอีโก้ ตัดทุกอย่าง แล้วมันจะเห็นจริง เห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วได้เรียนรู้ ปัญญากับ ความฉลาดมันต่างกัน ปัญญาเป็นเหมือน observer เป็น wisdom

    จุดเริ่มต้นไม่อยากผิด อยากฉลาดไม่อยากโง่ ทำอย่างไรให้เรากล้าผิดมากขึ้น ยอมรับในความไม่รู้ของเรามากขึ้น นี้คือจุดเริ่มต้นที่จะเปิดประตูให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้วทำอะไรได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น

    คู่ที่ 3

    “ชนะ | แพ้”
    “ได้เปรียบ | เสียเปรียบ”

    ทุกคนอยากชนะ อยากประสบความสำเร็จ อยากได้เปรียบ ไม่อยากเสียเปรียบ

    หากใครเป็นแฟนหนังกำลังภายในของจีน ก็จะรู้จัก “ต๊กโกวคิ้วป้าย” ฉายาของเค้าก็คือ “โดดเดี่ยวผู้ขวนขวายหาความพ่ายแพ้” ต๊กโกวคิ้วป้าย เค้าเกิดมาหาความพ่ายแพ้ตลอด หาคนเก่งกว่าแล้วก็พ่ายแพ้ จนหาคนเก่งกว่าไม่ได้ ณ วันนั้นเค้าก็เป็นคนเก่งที่สุดในยุทธจักร

    เราอยู่ในสังคมที่ถูกสอนให้ฉลาด โดยเราแพ้ไม่เป็น การแพ้เหมือนกับการทำความผิด เราต้องผิดให้เป็น แพ้ก็เหมือนกัน ถ้าเหมือนไหร่คนฝึก skill อีกฝั่งหนึ่งของการแพ้ เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะถอย เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรจะยอมแพ้

    การที่มีทัศนคติ react กับการพ่ายแพ้ที่ถูกต้อง โดยเรารู้ว่าเราแพ้ มันจะไม่ใช่ว่าเราแพ้แล้วเราโกรธ แพ้แล้วไปเกลียดอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเราฝึกในการแพ้ แปลว่าทุกครั้งที่แพ้ เราจะสามารถพัฒนาในเรื่องรับคำวิจารณ์ของคนอื่นได้ รับ Feedback ของคนอื่นได้ ถ้าเราต้องการชนะอย่างเดียว พอเสร็จเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการแพ้ในครั้งนั้นเลย

    ธรรมชาติของการเรียนรู้ของเรา เราไม่มีทางที่จะเรียนรู้ ในสภาวะที่เราเป็น Negative เช่น เราเกลียดคนนี้ เราก็จะไม่ได้เรียนรู้จากเค้า เราไม่ชอบ เราไปด่าว่าเค้า ในสภาวะนั้น หรือเราโกรธ เราจะไม่ได้เรียนรู้เลย เราจะเรียนรู้ต่อเมื่อเราชื่นชมเค้า เรามีสภาพจิตใจที่เป็น Positive

    เพราะฉะนั้นการแพ้กับการเรียนรู้เป็นของคู่กัน จริง ๆ การแพ้ การชนะไม่ได้เป็นทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ ว่ามันเกิดจากแพ้ ๆ ๆ แล้ว ก็ชนะ

    ทุกครั้งที่คนที่แพ้เป็น คนที่ยอมแพ้ได้ จะมีการเรียนรู้ แล้วจะมีการขยับขึ้นไปอีกขั้น

    เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่คนเก่งเยอะ ๆ ไปเป็นคนโง่ในที่นั้น ถ้าคนใฝ่หาความชนะอย่างเดียว เค้าจะหาคนอ่อนกว่าเรื่อย ๆ ขณะที่คนที่หาการพ่ายแพ้ เค้าจะหาคนที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ

    เมื่อไหร่เราให้คุณค่ากับความพ่ายแพ้ เริ่มเรียนรู้กับความพ่ายแพ้ เราก็จะได้เป็นโอกาสในการเรียนรู้อีกอันหนึ่ง ผิดพลาดแล้วเราเรียนรู้อะไร?

    ในมุมองของหัวหน้าเมื่อเห็นลูกน้องพ่ายแพ้ ถ้าเราเห็นว่าศักยภาพของน้อง ๆ มีทางพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เค้าควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าแพ้เพราะอะไร และ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าชนะเพราะอะไร อันนี้ โอเค ต้องรู้ว่าแพ้หรือชนะเพราะอะไร

    สิ่งที่น่ากลัวสุด คือการทำในสิ่งที่เป็น pattern โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

    คู่ที่ 4

    “เร็ว | ช้า”

    ทัศนคติในเรื่องของเร็วกับช้า VUCA World

    “VUCA World” เป็นคำย่อของ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity) ในยุคปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก

    บางอย่างควรที่จะเร็ว แต่บางอย่างควรที่จะช้า แปลว่าบางอย่างเร็วจะไม่ก่อผล หลาย ๆ อย่างจำเป็นต้องใช้ความช้า

    หนังสือ Thinking fast Thinking slow อะไรที่ต้องการเรียนรู้ อะไรที่วิเคราะห์ ต้องช้าอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะ Multitasking ทำหลายอย่าง ทำอย่างหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง ทำตอนที่สปีดเร็ว ๆ บางอย่างเราต้องตั้งใจให้มันช้า เพื่อที่จะได้เรียนรู้

    เราช้าลงเพื่อที่เราจะได้คิดได้ดีขึ้น เรียนรู้ได้มากขึ้น เพื่อที่อีกหน่อยเราจะได้เอามาเป็น Aoto Mode ของเรา แล้วเราก็จะได้เร็วขึ้นได้ในอนาคต

    เคล็ดลับในการหาคนมาทำงาน

    เลือกคนผิด ผิดไปแล้ว 70% อย่าคิดว่าการเลือกคนผิดแล้วใช้การ training ใช้อะไรต่าง ๆ แล้วมันจะช่วยได้ เราจะต้องเลือกคนที่ cultured เหมาะกับเรา เมล็ดพันธ์ุประเภทไหนที่อยู่กับเราแล้ว เค้าได้เติบโตดีสุด เราไม่สามารถที่จะเลี้ยง หรือเพาะพันธ์ หรือพัฒนาคนเก่ง ได้คนทุกประเภท

    คุณสมบัติข้อที่ 1 คนกลุ่มแรกที่อยากได้ คือ คนที่เจอความลำบากในชีวิต มีโอกาสน้อย ผ่านความลำบาก คนประเภทนี้ ถ้าเราให้โอกาส และเราสอน ก็จะถูกจริตกับเรามาก คนประเภทนี้ เค้าอดทน โอกาสเค้าน้อย เค้าไม่ได้สมหวัง เค้าถูกฝึกตนเอง ของสมดุลอีกข้างหนึ่งมาแล้ว ที่เป็นการฝึกโดยธรรมชาติ

    คุณสมบัติข้อที่ 2 คือ หาคนที่มีคุณสมบัติของความกตัญญู คนกตัญญู จะเป็นคนที่สามารถควบคุมอีโก้ตัวเองได้ คนอกตัญญูมักจะถูกอีโก้ครอบงำแล้วเหนือกว่า

    การหาคนกตัญญู จะใช้คุณสมบัติของ mathematics ถ้า A = B , B = C , C = D แล้ว A จะเค้ากับ D โดยอัตโนม้ติ

    “คนกตัญญู คนใจกว้าง คนมีสปิริส จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน .. คนใจแคบ คนอกตัญญู คนเห็นแก่ตัว จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”

    คำถามคือ คนเห็นแก่ตัว คนใจแคบ คนอกัตญญู เป็นคนเลวไม่ .. ตอบ เค้าไม่ใช่เป็นคนเลวนะครับ เพียงแต่เค้ามีความสามารถในการ control ควบคุมอีโก้ของตัวเองต่ำ เวลาอีโก้ มานำก็จะนึกถึงตัวเองเป็นหลัก

    คุณสมบัติข้อที่ 3 ความลับของฟ้า เป็นผลมาจากการทำ research คนที่เก่งที่สุด กับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เป็นคนละเซ็ตกัน คนที่เรียนเยอะสุด เรียนสูงสุด กับคนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนละเซ็ตกัน แต่ข้อมูลกลับโชว์ว่า กลุ่มคนที่กลัวเมียที่สุด กับกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นกลุ่มคนเซ็ตเดียวกัน…5555

    • mindset ของคนมีอยู่ 2 แบบ
      • เป็นคนฉลาด เก่ง mindset คือ มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลากับทุกเรื่อง เป็น mindset เปรียบเทียบหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว
      • เป็น mindset เหมือนเล่นเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ เราตัดสินใจแล้ว เราจะเลือกตรงนี้ เราจะทำตรงนี้ สิ่งที่คิดคือเอาจิ๊กซอว์ที่มีหรือสิ่งที่ตัดสินใจประกอบเป็นภาพที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เป็น mindset ของคนที่อยากได้อะไร ก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ปักหลักกับสิ่งที่ตัวเองสร้าง

    เราดูแลคนพวกนี้อย่างไร ไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ

    จุดอ่อนของการบริหาร คือ การเป็นคนใจดี ในการบริหารเราจะต้องสร้างสมดุลระหว่าง ใจดี กับ ความเหี้ยม มันต้องมีผสมประสานกัน เวลาเราใจดี เราจะไม่ยุติธรรม เราจะถัว

    เวลาเราใจดี เราจะพัฒนาด้านหนึ่ง โดยเราไม่ได้พัฒนาอีกด้านหนึ่ง เราไม่มีความสามารถเผชิญหน้าแบบบวก

    ความกตัญญู

    หาคนเก่ง หาคนฉลาด คนเก่งทำงาน ไม่ยาก เท่ากับหาคนที่มีสายตาแหลมคมในการดูคน ต้องรู้ว่าคนไหนเค้าทำดีต่อเรา ส่วนใหญ่หัวหน้ามักจะมองไม่ออก เพราะเกิดจาการถัว เพราะฉะนัันการเห็นที่เท่าทัน มันเป็น skill ของหัวหน้าอย่างหนึ่ง

    ทำอย่างไรให้ลูกน้องกตัญญู จริงๆ ตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้ กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ ความรู้สึกของผู้ให้ เมื่อไหร่อ้าปากก็จะเป็นการทวงบุญคุณ คนที่เค้ากตัญญู เค้าจะรู้เอง ว่าเค้าเคยได้รับบุญคุณ เคยเรียนรู้ จากใคร จากที่ไหน มันคือประเภทของคน ศิลปะของการเสียเปรียบ เราอาจจะยอมเสียเปรียบก่อน ลงทุนสร้าง แล้วถ้าเราได้คนถูกประเภท เดี๋ยวเค้าจะกลับคืนมาให้เรา มากกว่าที่เราให้

    “กตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้
    กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ”

    พยายามมองทุกคนเป็น professional มองคนด้วยความเป็นมืออาชีพ อย่าเอาเปรียบลูกน้อง เนื่องด้วยเค้าเด็ก เอาเปรียบเนื่องด้วยเค้าไม่เท่าทันเรา เพราะว่าเมื่อไหร่วันหนึ่ง แล้วเค้าฉลาดขึ้นมา เค้าคิดทันขึ้นมาความเชื่อใจจะไม่เหลือ

    เป็นเรื่องของ give and take เราต้องให้ก่อน ให้เพราะเราอยากจะให้ ไม่ได้หวังผล

    อ่านแล้วหากเป็นประโยชน์ก็ลองไปปรับใช้งานดูนะครับ …ติดตามกับ Blog ต่อไปกันได้นะครับ

  • เทคนิคการสร้าง Second Brain

    เทคนิคการสร้าง Second Brain

    เพราะสมองเราไม่ได้มีไว้จำ แต่มีไว้สำหรับสร้างสรรค์ความคิด สร้างไอเดียใหม่ ๆ

    หนังสือ Building A Second Brain ของ Tiago Forte เป็นหนังสือที่เรียบง่าย แต่เมื่ออ่านจบพบว่ามันทรงพลังมาก และปัจจุบัน ก็มีเล่มแปลให้สามารถหาอ่านได้แล้ว

    What is Second Brain

    สมองของคนเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์ไอเดีย ความคิดใหม่ ๆ แต่มันไม่สามารถจำทุกอย่างในชีวิตเราได้หมด เราเลยจะต้องหาวิธีการในการเอาสิ่งที่สมองเราไม่สามารถจดจำได้หมดไปเก็บไว้ใน

    Humans are now knowledge workers

    เพราะปัจจุบันมนุษย์คือ Knowledge workers

    ในแต่ละวัน เราใช้เวลาไปสำหรับในการค้นหาข้อมูลเพื่อเอาข้อมูลมาทำงาน เราใช้เวลาอยู่กับข้อมูลตลอดเวลา ค้นหาข้อมูล, ดู Youtube, อ่านหนังสือ, อ่านบทความ, อ่านโพสต์, ฟัง Podcast และอีกมากมาย

    คำถามคือ เอาเจอข้อมูลที่เอาไปใช้ประโยชน์ หรือเอาไปใช้งานได้จริงเท่าไหร่

    จริง ๆ แล้ว เรื่อง Second Brain ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตเราต่างก็เคย มี Second Brain กันเกือบจะทุกคน โดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ แต่ Second Brain ของพวกเขาจะเป็น Commonplace book เป็นสมุดจดโน้ตที่ผู้คนใช้เขียนไอเดีย ความคิด ข้อเสียของ Commonplace book คือ เปียกขาดชำรุด สูญหายได้ง่าย และเมื่อเขียนจนหมดเล่มแล้ว ก้ไม่ค่อยจะมีใครหยิบมาเปิดอ่าน

    Tiago Forte: มองว่า ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของอินเทอร์เน็ต Second Brain เราควรย้ายมาอยู่บน Digital Commonplace book ซึ่งมันสามารถนำเอาไอเดีย ความคิด ความรู้ต่าง ๆ มาใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และเราเองก็ใช้มันอยู่แล้วโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เช่น Google Calendar app หรือ Reminder app

    The power of writing thing down

    ยิ่งเราเขียนจดโน้ตลง second brain มากขึ้นเท่าไหร่ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของโน้ตต่าง ๆ ได้มากเท่าไหร่ value ของมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

    Second Brain Superpower

    1. ทำให้ไอเดียจับต้องได้มากขึ้น เป็นรูปธรรม — การเขียนความคิดทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวเป็นรูปธรรมมากขึ้น ช่วยให้คิดอย่างชัดเจน และใช้ความคิดคิดเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
    2. เชื่อมโยงความคิด ไอเดีย ระหว่างกันได้ — ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน จนทำให้ค้นพบไอเดียใหม่ ๆ
    3. เป็นพื้นที่ในการบ่มเพาะความรู้ —ความคิดของเราเมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน (เหมือนไวน์ยิ่งบ่มไว้นานยิ่งอร่อย)
    4. ทำให้มีมองมองคมชัดมากขึ้น — Second Brain ช่วยให้เราได้ใช้เวลากับการคิด ลงมือทำ มากกว่านึก หรือจำ และหลาย ๆ ครั้งที่เรากำลังต้องการไอเดียแต่นึกไม่ออก ไม่ได้เป็นเพราะเราไม่เก่ง ไม่สร้างสรรค์ เราอาจจะยังไม่มีวัตถุดิบ(ข้อมูล ความรู้) เพียงพอ

    จริง ๆ second brain ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในทางวิชาการเรียก concept นี้ว่า personal knowledge management (PKM)

    Remembering >> Connecting >> Creating

    The CODE Method

    Tiago เสนอ CODE method สำหรับสร้าง digital second brain เป็น 4 ขั้นตอนง่าย ๆ สรุปออกมาได้ดังนี้

    • Capture – เก็บข้อมูลใหม่ที่มีประโยชน์กับชีวิตเรา
    • Organize – จัดเรียงข้อมูลตาม actionability เพื่อนำไปใช้งาน (PARA method)
    • Distill – จดโน้ตสรุป สกัดไอเดียสำคัญ สรุปใจความสำคัญออกมา
    • Express – แบ่งปัน แชร์สิ่งที่เราเรียนรู้มาให้กับผู้อื่น เพราะข้อมูลจะกลางเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อเอามันไปใช้
    Source: Thiago Forte

    จาก Capture → Express คือการเดินทางที่เปลี่ยนตัวเองจาก consumer of information เป็น creator อย่างแท้จริง

    เราสร้าง Second Brain ไว้ให้ใคร? ตัวเอาเองในอนาคต ตัวเราเองในอนาคตจะเป็นใครใช้ประโยชน์จาก Second Brain ที่เราสร้างไว้

    1. Capture

    ไม่ใช่ทุกข้อมูลที่มีจะมีประโยชน์เท่ากันหมด หน้าที่ของเราคือ capture เฉพาะส่วนที่มีประโยชน์กับเรา โดยเราจะต้องตอบคำถามเหล่านี้

    • Does it inspire me? มันสร้างแรงบันดาลใจให้เรารึป่าว?
    • Is it useful? มันมีประโยชน์กับเราไหม?
    • Is it personal? เป็นสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังนึกรึป่าว? ตอบโจทย์เราไม่
    • Is it surprising? รู้สึกตื่นเต้น เซอร์ไพรส์ไหม?

    2. Organize

    Thiago ได้คิดค้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลเป็น 4 หมวดหมู่ง่าย ๆ ชื่อว่า PARA method โดยเน้นที่การทำไปใช้ในชีวิตเราเป็นหลัก

    1. Project (โปรเจกต์): งานระยะสั้นทั้งเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัวที่ทำด้วยเป้าหมายบางอย่าง
    2. Area (หน้าที่): ความรับผิดชอบระยะยาวที่ต้องคอยเอาในใส่อย่างต่อเนื่อง
    3. Resource (ทรัพยากร): หัวข้อหรือความสนใจที่อาจมีประโยชน์ในอนาคต
    4. Archive (คลังเก็บ): ข้อมูลใน 3 หมวดข้างต้นที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

    3. Distill

    To attain knowledge, add things every day. To attain wisdom, remove things every day.

    — Lao Tzu, ancient Chinese philosopher

    “เพื่อครอบครองความรู้ เพิ่มสิ่งนั้นทุก ๆ วัน เพื่อครอบครองปัญญา ตัดสิ่งที่มีอยู่ออกทุก ๆ วัน”

    การที่เราอ่านหนังสือหรือบทความสิ่งที่จะช่วยให้เราจำได้ก็คือ “การกลั่นข้อมูลออกมาให้เป็นภาษาของเราเอง” หาแก่นความรู้ ย่อยไอเดียให้กลายเป็นภาษาของเราเอง

    Distill คือ การกลั่นสิ่งที่เราพบเจอ ออกมาเป็นคำพูดของตัวเอง ความรู้ต้องผ่านการย่อย ปรับแต่งเพื่อเปลี่ยนเป็น asset ที่มีคุณค่า

    วิธีการ Distill ก็คือการทำ “Progressive Summarization”

    • Layer 0: แหล่งที่มาของข้อมูลจากต้นฉบับ เช่น website หนังสือ บทความ
    • Layer 1: เนื้อหาส่วนสำคัญที่นำมาใส่โปรแกรมการจดบันทึกของเรา
    • Layer 2: ใส่ ตัวหนา กับเนื้อหาที่เราคิดว่าสำคัญ (เวลาที่กลับมาอ่านโน้ต)
    • Layer 3: คัดใจความสำคัญจาก ตัวหนา และใส่ Highlight
    • Layer 4: สรุปเป็นข้อ ๆด้วยคำพูดของเราเอง และเอาไว้บนสุดของโน้ต
    วัวกระทิง ของ Pablo Picasso

    4. Express

    คีย์หลักในการ express ก็คือ จดจำปะติดปะต่อเรื่องราว เขียนออกมาในภาษาของเรา สร้างระบบจัดการความรู้ที่ใช้งานง่าย ลดความซ้ำซ้อน

    Express คือ การที่เราไม่รอจนให้ทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่แชร์สิ่งที่คุณรู้ให้ผู้อื่น แชร์ออกไปบ่อยขึ้น แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ เพื่อได้รับ feedbacks หรือมุมมองอื่น ๆมาพัฒนาความคิดเราต่อไป

    Intermediate Packets

    โน้ตที่เราจะเอาไปจด blog มันไม่ควรจะยาวมาก มันควรจะสั้น ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว

    Thinking Small จะมาจากหลายๆ ศาสตร์ การจะลงมือทำงานชิ้นใหญ่ ๆ มันเกิดมาจากที่เราเอาส่วนเล็กๆ มาประกอบร่างกัน และการจดโน้ตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์เฟอร์เฟ็ก

    ทุกอาชีพมักจะมี “กระบวนการ” ก่อนที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมา เห็นได้ว่ามี “Prototype” เวลาสร้าง Product, “Demo” เพลงของศิลปิน

    สรุปการฝึก Express บ่อย ๆ ในรูปของ Intermediate Packets ช่วยเพิ่ม Productivity โดยรวมของเราในตอนนี้ และอนาคตได้ด้วย เหมือนกับการสร้างตึกที่เรามี ฐานที่แข็งแรง เป็นการค่อย ๆสะสม Knowledge Assets ที่พร้อมใช้งานทุกเมื่อนั่นเอง

    Thiago Forte ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ทำให้เห็นว่าการทำ Personal Knowledge Management หรือการจัดทำระบบจัดการความรู้ของตัวเรา มันเจ๋งมาก ทั้งช่วยให้เราจำข้อมูลสำคัญได้ เชื่อมต่อความคิดจนเกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ และการสร้างผลงานสู่โลกภายนอก

    เราจะสร้าง Second Brain ของตัวเองอย่างไร?

    Second Brain คือระบบหรือ system ไม่ใช่แค่ software ตัวใดตัวหนึ่ง แต่เกิดจากการใช้หลายๆเครื่องมือร่วมกัน หลัก ๆ จะมี 4 apps

    • Calendar
    • To-Do
    • Note
    • Read-Later App

    หลายคนเข้าใจผิดว่าใช้แค่ notetaking app อย่าง Notion แค่แอปเดียวก็สร้าง second brain ได้แล้วไม่ใช่นะครับ ในการสร้าง Second Brain เราจำเป็นจะต้องประยุกต์แอปหลาย ๆ

    เตรียมพบกับ เทคนิค และวิธีการใช้งาน Notion...