Category: General

  • สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza อธิบายจิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจของลูกค้า ว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อ (หรือไม่ซื้อ) โดยใช้แนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” บนสายพานลำเลียงในสมองของลูกค้า ลูกค้าจะยังไม่ตัดสินใจซื้อจนกว่าจะได้รับข้อมูลครบทั้ง 7 ใบนี้ตามลำดับที่ถูกต้อง

    กระเป๋าทั้ง 7 ใบประกอบด้วย: 1. ปัญหา (The Problem) 2. วิธีแก้ปัญหา (The Solution) 3. กลุ่มเป้าหมายที่เจาะจง (The Target Profile) 4. ตัวกระตุ้น (The Trigger) 5. ข้อโต้แย้ง (The Objections) 6. คำรับรองจากลูกค้า (The Testimonials) และ 7. การขจัดความเสี่ยง (Risk-Reversal)

    หนังสือเล่มนี้มอบโครงสร้างที่ชัดเจนในการสื่อสารการตลาด เพื่อสร้างความไว้วางใจ ลดความลังเล และป้องกันไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ทำให้คุณปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    กระเป๋า 7 ใบที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยตามลำดับ มีดังนี้ครับ

    1. The Problem (ปัญหา): นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุด สมองของมนุษย์ถูกสร้างมาให้สนใจ “ปัญหา” ก่อนสิ่งอื่นใด การสื่อสารของคุณจึงควรเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ เพื่อดึงความสนใจของพวกเขาทันที
    2. The Solution (ทางแก้): หลังจากที่คุณชี้ให้เห็นปัญหาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มมองหาทางออก “ทางแก้” ของคุณคือสิ่งที่มาช่วยคลายความกังวลนั้น มันควรจะเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาและเป็นเหมือนภาพสะท้อนของปัญหาที่กล่าวไปก่อนหน้า
    3. The Target Profile (กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน): แทนที่จะทำการตลาดกับ “กลุ่มคน” จำนวนมาก ให้คุณเลือกสื่อสารกับ “คนเพียงคนเดียว” ที่เป็นตัวแทนของลูกค้าในอุดมคติ การทำเช่นนี้จะทำให้ข้อความของคุณเจาะจงและทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันพูดถึงปัญหาและความต้องการของคนๆ นั้นโดยตรง
    4. The Objections (ข้อโต้แย้ง): ข้อโต้แย้งไม่ใช่สัญญาณของการปฏิเสธ แต่เป็นสัญญาณว่าลูกค้า “สนใจ” แต่ยังมีข้อกังวลอยู่ หน้าที่ของคุณคือการนำข้อโต้แย้งที่คาดว่าลูกค้าจะมีขึ้นมาพูดก่อน และอธิบายเพื่อทำลายข้อกังวลเหล่านั้นอย่างโปร่งใส
    5. The Testimonials (คำรับรองจากลูกค้า): คำรับรองคือเครื่องมือพิสูจน์ที่ทรงพลังจากบุคคลที่สาม หนังสือแนะนำให้ใช้ “Reverse Testimonial” ซึ่งเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความลังเลหรือข้อสงสัยของลูกค้าคนก่อนหน้า แล้วจึงตามด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่พวกเขาได้รับ วิธีนี้ทำให้คำรับรองดูน่าเชื่อถือและจริงใจยิ่งขึ้น
    6. The Risk Reversal (การขจัดความเสี่ยง): นี่คือการรับประกันที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยในการตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่แค่การคืนเงิน แต่ควรรวมถึงการขจัด “ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่” ที่ลูกค้าอาจนึกไม่ถึงด้วย การมีนโยบายที่ชัดเจนจะแสดงให้เห็นว่าคุณมั่นใจในสินค้าและบริการของคุณมากเพียงใด
    7. The Uniqueness (ความมีเอกลักษณ์): สุดท้าย ลูกค้าต้องรู้ว่า “ทำไมต้องซื้อจากคุณ” ไม่ใช่คู่แข่ง ความมีเอกลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ค้นหา” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “สร้างขึ้น” โดยเลือกจุดเด่นเพียง “หนึ่งเดียว” แล้วสร้างธุรกิจทั้งหมดของคุณรอบๆ จุดเด่นนั้น

    โดยสรุป The Brain Audit คือกระบวนการสื่อสารที่เป็นระบบและเป็นไปตามลำดับขั้นการทำงานของสมอง เพื่อนำลูกค้าเดินทางตั้งแต่การรับรู้ปัญหาไปจนถึงการตัดสินใจซื้ออย่างมั่นใจและปราศจากความลังเลครับ

    แล้วจะปรับใช้งานกับงานตำรวจได้อย่างไร

    เราสามารถนำแนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” จาก The Brain Audit มาประยุกต์ใช้กับอาชีพตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนเป้าหมายจาก “การขายสินค้า” เป็น “การสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือจากประชาชน” แทนครับ

    เป้าหมาย: สร้างความร่วมมือจากประชาชนในโครงการ “ชุมชนปลอดภัย”

    กระเป๋าใบที่ 1: ปัญหา (The Problem)

    • แนวคิด: เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ประชาชนรู้สึกกังวลและเดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่พูดภาพกว้างๆ
    • การประยุกต์ใช้: แทนที่จะบอกว่า “เราจะมาปราบปรามอาชญากรรม” ให้เจาะจงไปที่ปัญหาที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่จริงๆ
    • ตัวอย่าง: ในการประชุมกับชาวบ้าน อาจจะเริ่มต้นว่า “หลายท่านในที่นี้คงกังวลกับปัญหาแก๊งวัยรุ่นที่รวมตัวส่งเสียงดังและสร้างความเดือดร้อนในสวนสาธารณะตอนกลางคืนใช่ไหมครับ?” การพูดแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของคนที่ประสบปัญหานี้โดยตรงได้ทันที

    กระเป๋าใบที่ 2: วิธีแก้ปัญหา (The Solution)

    • แนวคิด: เสนอทางออกที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย เป็นเหมือนด้านตรงข้ามของปัญหา
    • การประยุกต์ใช้: บอกให้ชัดเจนว่าตำรวจจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้น ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน
    • ตัวอย่าง: “เรามีแผนที่จะเพิ่มสายตรวจเดินเท้าเข้ามาในสวนสาธารณะทุกคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เพื่อแก้ปัญหานี้ครับ”

    กระเป๋าใบที่ 3: กลุ่มเป้าหมาย (The Target Profile)

    • แนวคิด: สื่อสารราวกับกำลังพูดกับ “คนคนเดียว” ที่มีปัญหานั้นจริงๆ ไม่ใช่พูดกับคนหมู่มาก
    • การประยุกต์ใช้: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี
    • ตัวอย่าง: “เราเข้าใจดีว่าสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ หรือผู้สูงอายุที่ต้องการพักผ่อน เสียงดังในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

    กระเป๋าใบที่ 4: ตัวกระตุ้น (The Trigger)

    • แนวคิด: รวมเอา “กลุ่มเป้าหมาย + ปัญหา + วิธีแก้ปัญหา” มาสร้างเป็นประโยคที่กระตุ้นความสนใจ
    • การประยุกต์ใช้: ใช้เป็นหัวข้อในการประชาสัมพันธ์โครงการหรือการประชุม
    • ตัวอย่าง: “สำหรับครอบครัวในชุมชนที่เดือดร้อนจากปัญหาวัยรุ่นเสียงดัง: ตำรวจเตรียมส่งสายตรวจเดินเท้าเข้าดูแลสวนสาธารณะทุกคืนเพื่อคืนความสงบสุขให้ท่าน”

    กระเป๋าใบที่ 5: ข้อโต้แย้ง (The Objections)

    • แนวคิด: นำข้อกังขาหรือความไม่เชื่อมั่นของประชาชนขึ้นมาพูดก่อน เพื่อแสดงความเข้าใจและสร้างความน่าเชื่อถือ
    • การประยุกต์ใช้: ตำรวจต้องยอมรับและชิงพูดถึงข้อกังวลที่ประชาชนมักจะมีต่อการทำงานของตำรวจ
    • ตัวอย่าง: “หลายท่านอาจจะคิดว่า ‘เดี๋ยวตำรวจก็มาแค่ช่วงแรกๆ แล้วก็หายไป’ เราเข้าใจดีครับ นั่นคือเหตุผลที่เราจะมีการตั้งตู้แดงและให้ประชาชนร่วมลงชื่อการตรวจทุกคืน เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าเราจะทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง”

    กระเป๋าใบที่ 6: คำรับรอง (The Testimonials)

    • แนวคิด: ใช้เสียงจากบุคคลที่สาม หรือเรื่องราวความสำเร็จ มายืนยันว่าวิธีนี้ได้ผลจริง
    • การประยุกต์ใช้: ยกตัวอย่างความสำเร็จจากชุมชนอื่นที่เคยมีปัญหาคล้ายกัน
    • ตัวอย่าง: “ในชุมชนข้างเคียงที่เคยมีปัญหาแบบเดียวกัน หลังจากเราใช้มาตรการนี้เป็นเวลา 1 เดือน ปัญหาลดลงกว่า 90% ซึ่งได้รับการยืนยันจากประธานชุมชนที่นั่นครับ”

    กระเป๋าใบที่ 7: การขจัดความเสี่ยง (Risk Reversal)

    • แนวคิด: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการให้ความร่วมมือกับตำรวจนั้น “ไม่มีความเสี่ยง” สำหรับพวกเขา
    • การประยุกต์ใช้: สร้างหลักประกันความปลอดภัยและความสะดวกใจให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือให้ความร่วมมือ
    • ตัวอย่าง: “สำหรับการแจ้งเบาะแสเพิ่มเติม เรามีช่องทางสายตรงที่ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้แจ้ง และข้อมูลของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับสูงสุด เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”

    👉การนำแนวคิดนี้มาใช้ จะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของตำรวจจาก “การสั่งการ” ให้กลายเป็น “การสร้างบทสนทนา” ที่เข้าถึงและเข้าใจประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความไว้วางใจและความร่วมมือในระยะยาว ครับ 😂

  • การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    วิธีการแบ่งงานออกเป็น 4 ด้าน (Matrix: Importance vs. Effort)

    แนวคิดนี้ใช้หลักการ การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix) โดยการพิจารณา 2 ปัจจัยหลักคือ:

    • แกนแนวตั้ง : ความสำคัญของงาน (สำคัญมาก ↔ สำคัญน้อย)
    • แกนแนวนอน : ความยากหรือง่ายในการทำงาน (ทำง่าย ↔ ทำยาก)

    เมื่อจัดลงไปในตาราง 2×2 เราจะได้งาน 4 ประเภทที่สามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะโฟกัสอะไร ควรเลื่อนอะไรออกไป และควรหาความช่วยเหลือในงานไหน

    (1) งานสำคัญมาก / ทำได้ง่ายเลือกทำก่อน (Quick Wins)

    • ลักษณะงาน: งานที่สร้างคุณค่าได้มากต่อเป้าหมาย แต่ไม่ซับซ้อน ทำเสร็จได้เร็ว
    • เหตุผลที่ต้องทำก่อน: เพราะงานประเภทนี้สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยไม่เปลืองแรง
    • ตัวอย่าง: การโทรติดต่อลูกค้ารายใหญ่, การส่งอีเมลรายงานที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว, การประชุมสั้นที่ตัดสินใจได้เร็ว
    • กลยุทธ์: ประเมินงานในแต่ละวัน เลือกสิ่งที่ทั้ง “สำคัญ” และ “ง่าย” มาทำทันที เพื่อปลดล็อกความคืบหน้าเร็วที่สุด

    (2) งานสำคัญน้อย / ทำง่ายทำเมื่อมีเวลา (Fill-ins)

    • ลักษณะงาน: งานทั่วไป งานซ้ำๆ ที่ไม่ได้มีผลกระทบมากต่อเป้าหมายใหญ่ แต่จำเป็นต้องมีคนทำ
    • ช่วงเวลาที่ควรทำ: ทำในเวลาที่พลังงานลดลง เช่น บ่ายแก่ๆ หรือระหว่างรอการประชุม
    • ตัวอย่าง: การเคลียร์อีเมลทั่วไป, กรอกแบบฟอร์ม, จัดโต๊ะทำงาน, การแก้ไขเล็กน้อยในเอกสาร
    • กลยุทธ์: อย่าเอางานกลุ่มนี้ขึ้นมาแซงงานสำคัญ แต่ให้เก็บไว้จัดการช่วงที่ไม่สามารถโฟกัสงานใหญ่ได้

    (3) งานสำคัญน้อย / ทำยากเลื่อนหรือมอบหมาย (Avoid/Delegate)

    • ลักษณะงาน: งานที่ไม่สำคัญกับเป้าหมายใหญ่ แถมยังใช้พลังงานเยอะและเราอาจไม่ถนัด
    • ปัญหาที่เจอ: ทำเองเสียเวลา เสียพลัง โดยที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์คุ้มค่า
    • วิธีรับมือ:
      • เลื่อนออกไป หากไม่เร่งด่วน
      • หาตัวช่วย เช่น ให้ทีมงานที่ถนัดกว่ารับไปทำ
    • ตัวอย่าง: การทำสไลด์ออกแบบซับซ้อน, การตกแต่งเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงลึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลัก
    • กลยุทธ์: ตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่ทำเลย จะมีผลเสียจริงๆ หรือไม่” ถ้าไม่ → ลดความสำคัญลง หรือโอนงานให้คนอื่น

    (4) งานสำคัญมาก / ทำยากจัดการอย่างเป็นระบบ (Major Projects)

    • ลักษณะงาน: งานที่มีผลกระทบสูงและซับซ้อน ต้องใช้เวลาและพลังงานจำนวนมาก
    • สิ่งที่ต้องระวัง: ไม่สามารถทำให้เสร็จในครั้งเดียว ต้องวางแผน แบ่งย่อย และอาจต้องทำงานเป็นทีม
    • ตัวอย่าง: การวางกลยุทธ์องค์กร, การเขียนรายงานสืบสวนเชิงลึก, การวางระบบใหม่, การทำโครงการใหญ่
    • กลยุทธ์:
      • วางแผนระยะยาว แบ่งเป็น Milestone ย่อยๆ
      • กำหนด Deadline และจัดเวลาแบบ Block Time
      • ประสานทีมงานและสร้างความต่อเนื่อง

    วิธีใช้ Matrix นี้ในชีวิตจริง

    1. ลิสต์งานทั้งหมดออกมา → เขียนสิ่งที่ต้องทำ
    2. ประเมินความสำคัญ → งานนี้มีผลกับเป้าหมายหลักแค่ไหน
    3. ประเมินความยาก/ง่าย → ต้องใช้เวลา/ความพยายามมากน้อยเพียงใด
    4. จัดใส่ใน Matrix → เลือกว่าจะทำทันที, ทำเมื่อมีเวลา, มอบหมาย, หรือวางแผนใหญ่
    5. โฟกัสงานกลุ่ม (1) ก่อนเสมอ → เพื่อสร้าง Momentum

    สรุป

    การแบ่งงานออกเป็น 4 ด้านตามแกน ความสำคัญ และ ความยากง่าย ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดชัดเจนขึ้น เราจะรู้ว่า งานไหนควรโฟกัส, งานไหนควรเลื่อน, งานไหนควรให้คนอื่นทำ, และงานไหนต้องวางแผนจริงจัง การใช้วิธีนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เรามีวินัย จัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเวลาและพลังงานของเรา

  • ข้อคิดจากหนังสือ The Coming Wave คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    ข้อคิดจากหนังสือ The Coming Wave คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    “เมื่อผู้คนถามผมเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ คำถามของพวกเขามักจะสรุปได้ดังนี้: ฉันควรจะกังวลอะไร และควรจะกังวลแค่ไหน ในปีที่ผ่านมา ผมตอบโดยบอกให้พวกเขาอ่าน The Coming Wave โดย Mustafa Suleyman นี่เป็นหนังสือที่ผมแนะนาที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์มากกว่าเล่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำรัฐ ผู้นำธุรกิจ หรือใครก็ตามที่ถาม เพราะหนังสือเล่มนี้มีสิ่งที่หาได้ยาก นั่นคือ มุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสอันยอดเยี่ยม และความเสี่ยงอันแท้จริงที่รออยู่ข้างหน้า” …..The Coming Wave แนะนำโดย Bill Gates (4 ธันวาคม ค.ศ. 2024)

    เครดิตภาพจาก : techsauce

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา: มุสตาฟา สุไลมาน เผยวิสัยทัศน์แห่งอนาคต

    Mustafa Suleyman

    โลกกำลังจะเปลี่ยน คุณพร้อมรับมือหรือยัง?

    มุสตาฟา สุไลมาน ผู้ร่วมก่อตั้ง DeepMind เปิดเผยในหนังสือขายดีของเขาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อปัญญาประดิษฐ์และชีววิทยาสังเคราะห์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน

    “คลื่นลูกใหม่กำลังมา และทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

    จากประสบการณ์อันยาวนานในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้สนับสนุนเทคโนโลยีแนวหน้า สุไลมานไม่เพียงแค่มองเห็นประโยชน์มหาศาล แต่ยังเตือนถึงภัยอันตรายที่เราอาจไม่เคยพบเจอมาก่อน

    ทำไมคุณต้องใส่ใจ?

    คุณลองนึกภาพ:

    • AI ที่จัดการงานสำคัญในชีวิตประจำวันของคุณได้โดยอัตโนมัติ
    • การออกแบบ DNA ที่สามารถทำได้แม้ในโรงรถธรรมดา
    • โลกที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วเกินกว่าที่สังคมจะรับมือได้ทัน

    “The Coming Wave” ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่เป็นสัญญาณเตือนให้เราเตรียมพร้อม เป็นคู่มือที่ครูทุกคนควรอ่านเพื่อเตรียมคนรุ่นถัดไปสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง

    คุณจะอยู่บนยอดคลื่นหรือถูกคลื่นซัดจม? ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว…

    9 ข้อคิดดี ๆ

    1.WAVES คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง: เมื่อเทคโนโลยีกำลังจะพลิกโฉมโลกอีกครั้ง

    คลื่นในประวัติศาสตร์: สัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    ลองนึกถึงเรื่องเล่าโบราณที่แทบทุกวัฒนธรรมมีร่วมกัน – เรื่องราวของน้ำท่วมใหญ่ที่พลิกโฉมโลก

    คลื่นไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังมหาศาลที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในพริบตา

    คลื่นแห่งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก

    เราได้เห็นคลื่นเทคโนโลยีมาแล้วหลายระลอก:

    • การสร้างเครื่องมือเกษตรกรรมที่ทำให้มนุษย์เลิกเร่ร่อนและสร้างอารยธรรม
    • การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนวิถีการทำงานและการใช้ชีวิต
    • การประดิษฐ์ชิปซิลิคอนที่นำไปสู่ยุคดิจิทัล

    แต่ละคลื่นได้เปลี่ยนสังคมมนุษย์อย่างถอนรากถอนโคน

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาแบบก้าวกระโดด จากเครื่องคำนวณขนาดห้องสู่คอมพิวเตอร์พกพาที่ทรงพลังกว่าหลายพันเท่า

    และตอนนี้ หลังจากเราเพิ่งปรับตัวกับคลื่นลูกแรกของยุคคอมพิวเตอร์ คลื่นลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น – คลื่นที่อาจทรงพลังยิ่งกว่าที่เคยเห็นมา

    2.THE COMING WAVE คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมา: AI และชีววิทยาสังเคราะห์

    กำลังจะมาถึง: คลื่นลูกใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลง

    คลื่นลูกใหม่ทางเทคโนโลยีกำลังก่อตัวขึ้น และเตรียมจะซัดเข้าสู่ชายฝั่งแห่งสังคมของเรา โดยมีสองพลังหลักที่ขับเคลื่อน:

    • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) – ที่เรียนรู้และปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง
    • ชีววิทยาสังเคราะห์ – ที่เปิดโอกาสให้เราสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิต

    ความก้าวหน้าที่เหนือความคาดหมาย

    นึกถึงแชทบอทเมื่อ 5 ปีก่อน… ที่แทบใช้งานไม่ได้เลย

    เปรียบเทียบกับ ChatGPT ในวันนี้… ที่กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ

    นี่คือความเร็วในการพัฒนาที่แทบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

    ดาบสองคม: โอกาสและความเสี่ยง

    เหมือนมีดที่คมกริบ – เครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์ยุคแรกสร้างสิ่งประดิษฐ์ แต่ก็ถูกใช้เป็นอาวุธได้เช่นกัน

    เทคโนโลยีลูกใหม่นี้:

    • สร้างโอกาสมหาศาลที่เราแทบจะจินตนาการไม่ถึง
    • แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กัน

    เหตุใดเราต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้

    เราอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ – เรายังมีเวลาที่จะรับมือกับคลื่นลูกนี้อย่างชาญฉลาด

    แทนที่จะปล่อยให้คลื่นซัดเราจมน้ำ เรายังสามารถเรียนรู้ที่จะโต้คลื่นและใช้พลังของมันให้เป็นประโยชน์

    3.PESSIMISM AVERSION ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้าย: อุปสรรคต่อการรับมือกับเทคโนโลยีใหม่

    ทำไมเราถึงมักเลือกมองแต่ด้านดี?

    เรากำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ในการรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ – สิ่งที่มุสตาฟา สุไลมานเรียกว่า “ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้าย”

    ลองคิดดู – เมื่อมีคนเตือนถึงความเสี่ยงของเทคโนโลยีใหม่ คุณเคยรู้สึกไม่สบายใจและอยากปฏิเสธคำเตือนนั้นหรือไม่?

    สัญชาตญาณการปฏิเสธความเสี่ยง

    นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของมนุษย์:

    • เราไม่อยากมองเห็นอันตรายที่กำลังจะมา
    • เราต้องการเชื่อว่าทุกอย่างจะดีเอง
    • เรามักจะ “เอาหัวมุดทราย” เมื่อเผชิญกับความเสี่ยง

    การโจมตีผู้เตือนภัย

    เมื่อมีคนพยายามเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เรามักจะ:

    • เรียกเขาว่า “คนชอบคัดค้าน”
    • กล่าวหาว่า “มองโลกในแง่ร้าย”
    • บอกให้พวกเขา “มองโลกในแง่ดีบ้าง”

    ความสมดุลที่จำเป็น

    ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้ายมีประเด็นที่ถูกต้อง: คลื่นเทคโนโลยีใหม่นี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน

    แต่การปฏิเสธที่จะมองเห็นอันตรายหรือความเสี่ยงเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

    สิ่งที่เราต้องการคือมุมมองที่สมดุล: เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง พร้อมเตรียมรับมือกับทั้งสองด้าน

    4.GLOBAL ISSUES การแข่งขันระดับโลก: เมื่อประเทศต่างๆ เร่งพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง

    เชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่

    นอกจากความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้ายแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้คลื่นลูกใหม่ทวีความรุนแรง: การแข่งขันระดับโลก

    ลองคิดภาพ: เมื่อประเทศหนึ่งพัฒนา AI ที่ทรงพลัง ประเทศอื่นๆ จะยอมอยู่เฉยๆ ได้หรือไม่?

    แรงผลักดันจากความกลัวการล้าหลัง

    ประเทศต่างๆ ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวพื้นฐาน:

    • ไม่มีประเทศใดต้องการเป็นรองในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
    • ทุกประเทศต้องการเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมล้ำสมัย
    • ความกลัวที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังนำไปสู่การเร่งพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด

    การขยายขอบเขตโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ

    นี่คือวิธีที่เส้นแบ่งของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถูกผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ:

    • การค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
    • มาตรฐานความปลอดภัยอาจถูกละเลย
    • ผลกระทบระยะยาวแทบไม่ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

    คำถามสำคัญสำหรับสังคมของเรา

    เราจะสร้างสมดุลระหว่างการแข่งขันและความรับผิดชอบได้อย่างไร?

    เราจะสร้างกรอบการทำงานระดับโลกที่ช่วยให้เทคโนโลยีก้าวหน้าโดยไม่ละเลยความปลอดภัยได้หรือไม่?

    หรือเราจะปล่อยให้การแข่งขันระหว่างประเทศผลักดันให้เราก้าวไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครสำรวจมาก่อนโดยไม่มีแผนที่นำทาง?

    5.CONTAINMENT การควบคุมคลื่นเทคโนโลยี: ความท้าทายที่แทบเป็นไปไม่ได้

    จะควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อย่างไร?

    การรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีที่กำลังมานั้น ต้องมีการควบคุม แต่นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยากที่สุด

    มุสตาฟา สุไลมาน ให้นิยามของ “การควบคุม” ไว้อย่างชัดเจน:

    “ความสามารถในการตรวจสอบ จำกัด ควบคุม และอาจปิดเทคโนโลยีลงด้วยซ้ำ”

    แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่า นี่เป็นภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้

    บทเรียนจากอดีต: เทคโนโลยีมักหาทางออก

    จักรวรรดิออตโตมันเคยพยายามห้ามใช้โรงพิมพ์ — แต่ผลเป็นอย่างไร?

    ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

    เทคโนโลยีมักหาทางเล็ดลอดผ่านการควบคุมเสมอ เหมือนน้ำที่หาทางไหลผ่านรอยแตกของเขื่อน

    เหตุใดคลื่นลูกใหม่จึงควบคุมยากกว่าที่เคย

    คลื่นเทคโนโลยีใหม่มีคุณสมบัติที่ทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน:

    • ราคาถูก – ไม่ต้องลงทุนมหาศาลเหมือนเทคโนโลยีในอดีต
    • เข้าถึงง่าย – ใครๆ ก็สามารถใช้งานได้จากทั่วโลก
    • ใช้งานง่าย – ไม่จำเป็นต้องมีทักษะซับซ้อน

    เปรียบเทียบ: เครื่องบินขับไล่ vs เทคโนโลยีดิจิทัล

    สุไลมานใช้ตัวอย่างที่ชัดเจน:

    เครื่องบินขับไล่:

    • ราคาแพงหลายร้อยล้าน
    • ต้องการการฝึกฝนหลายปี
    • ควบคุมได้ง่ายเพราะมีอุปสรรคสูงในการเข้าถึง

    เทคโนโลยีดิจิทัลใหม่:

    • ถูกมาก (หรือฟรี)
    • ใช้งานง่าย ไม่ต้องผ่านการฝึกอบรมมาก
    • แพร่กระจายได้ทั่วโลกในเสี้ยววินาที

    6.THE FOUR FEATURES สี่คุณสมบัติที่ทำให้คลื่นเทคโนโลยีใหม่ควบคุมไม่ได้

    คลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่มีลักษณะพิเศษที่ทำให้การควบคุมเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มุสตาฟา สุไลมานได้ระบุคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง

    1. ความไม่สมดุล (Asymmetry)

    การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย = ผลกระทบมหาศาล

    เพียงแค่การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ในโค้ดหรือการทดลองทางชีววิทยา อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่ไม่คาดคิด

    ลองนึกภาพ: โค้ดเพียงไม่กี่บรรทัดอาจสร้างระบบที่ส่งผลกระทบต่อคนนับล้าน

    2. วิวัฒนาการขั้นสูงสุด (Hyper-evolution)

    พัฒนาเร็วเกินกว่าที่เราจะตามทัน

    เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้พัฒนาแบบเส้นตรง แต่พัฒนาแบบทวีคูณ – เร็วขึ้นเรื่อยๆ

    ระบบ AI ในวันนี้อาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัยในอีกหกเดือนข้างหน้า ทำให้การสร้างกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องยาก

    3. การใช้งานได้หลากหลาย (Omni-use)

    หนึ่งเทคโนโลยี = หลากหลายการใช้งาน

    เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุตสาหกรรมเดียว แต่สามารถนำไปใช้ได้แทบทุกด้านของชีวิต:

    • ทางการแพทย์
    • ทางการเงิน
    • ทางการศึกษา
    • และอีกมากมาย

    ซึ่งทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยาก เพราะต้องคิดถึงการใช้งานที่หลากหลายและอาจไม่คาดคิด

    4. ความเป็นอิสระ (Autonomy)

    เทคโนโลยีที่คิดและตัดสินใจได้เอง

    ลักษณะที่น่ากลัวที่สุด: ระบบ AI ที่กำลังพัฒนาสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ ตัดสินใจได้เอง และอาจพัฒนาตัวเองต่อไปได้

    นึกภาพระบบที่สามารถ:

    • เรียนรู้จากประสบการณ์
    • ปรับตัวเมื่อเผชิญอุปสรรค
    • ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์

    7.IN THE WRONG HANDS เมื่อเทคโนโลยีตกอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี: อันตรายที่เพิ่มทวีคูณ

    ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเมื่อคนผิดได้ครอบครองเทคโนโลยีใหม่

    อีกด้านที่น่ากังวลของคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่คือโอกาสที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย

    ความเสี่ยงไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่เป็นภัยคุกคามที่จับต้องได้และน่ากลัวอย่างยิ่ง

    จินตนาการถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่

    ลองนึกภาพสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้:

    โดรนติดอาวุธที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    • สามารถจดจำใบหน้าและระบุเป้าหมายเฉพาะได้
    • บินอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    • ติดตั้งอาวุธที่ทำลายล้างสูง

    เทคโนโลยีเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ก่อการร้ายเพียงคนเดียวมีอำนาจทำลายล้างเทียบเท่ากับกองทัพขนาดเล็ก

    สองด้านของเหรียญเดียวกัน

    แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า:

    ในมือของคนดี เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถ:

    • ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น
    • เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาความหิวโหย
    • ช่วยชีวิตผู้คนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ

    การเดินบนเส้นทางแคบ

    มุสตาฟา สุไลมานเน้นย้ำว่า เราต้อง “เดินบนเส้นทางที่แคบ”:

    • ต้องควบคุม เทคโนโลยีอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
    • แต่ ไม่ควบคุมมากเกินไป จนทำลายศักยภาพที่จะสร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่

    คำถามสำคัญคือ: เราจะสร้างสมดุลนี้ได้อย่างไร? เราจะสร้างระบบที่ให้เทคโนโลยีใหม่เบ่งบานในมือของคนดี แต่ป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนร้ายได้หรือไม่?

    8.THE NARROW PATH เส้นทางแคบ: สมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย

    การเดินบนเส้นด้ายระหว่างอนาคตสองแบบ

    มุสตาฟา สุไลมาน ใช้คำว่า “เส้นทางแคบ” เพื่ออธิบายความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัยเรา:

    “ศักยภาพของมนุษยชาติในการสร้างสมดุลระหว่างความเปิดกว้างและการปิดล้อม เมื่อต้องจำกัดเทคโนโลยีในคลื่นลูกใหม่ที่จะมาถึง เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้าย”

    นี่คือเส้นทางที่เปราะบางที่เราต้องเดิน – ไม่เปิดกว้างจนเกินไป แต่ก็ไม่ปิดกั้นจนเกินไป

    ความท้าทายที่ไม่มีวันจบ

    เส้นทางนี้มีลักษณะสำคัญสองประการ:

    1. เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก

    • ต้องการการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนและยากลำบาก
    • ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
    • ต้องยอมรับว่าไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์แบบ

    2. เป็นเส้นทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    • ไม่ใช่เป้าหมายที่เมื่อไปถึงแล้วจะจบ
    • เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องไปตลอด
    • สังคมทุกแห่งต้องเดินบนเส้นทางนี้ไปพร้อมกัน

    ความสมดุลที่ต้องรักษา

    เส้นทางแคบนี้คือการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่าง:

    • การปล่อยให้นวัตกรรมเติบโตอย่างเสรี
    • การกำกับดูแลที่เพียงพอเพื่อความปลอดภัย
    • การเปิดโอกาสให้เกิดประโยชน์
    • การป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด

    คำถามสำคัญสำหรับมนุษยชาติ

    เราจะรักษาสมดุลนี้ได้อย่างไร? มนุษยชาติจะมีวินัยและความรอบคอบเพียงพอที่จะเดินบนเส้นทางแคบนี้ไปด้วยกันได้หรือไม่?

    นี่ไม่ใช่เพียงความท้าทายทางเทคโนโลยี แต่เป็นความท้าทายทางศีลธรรมและจริยธรรมที่จะกำหนดอนาคตของเรา

    9.SCULPTING THE NEXT WAVE การปั้นแต่งคลื่นเทคโนโลยี: มนุษย์ต้องมาก่อนเสมอ

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่เราต้องไม่ลืม

    การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งก่อนสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาล แต่มาพร้อมกับราคาที่แสนแพง:

    ลองนึกภาพ:

    • เด็กน้อยที่ต้องทำงานในโรงงานอันอันตราย
    • ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในสลัมสกปรก
    • ชีวิตที่ถูกบีบให้ปรับตัวเข้ากับจังหวะของเครื่องจักร

    มนุษย์ถูกบังคับให้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี แทนที่จะเป็นในทางกลับกัน

    จุดยืนของมุสตาฟา สุไลมาน

    มุสตาฟา สุไลมานเชื่อว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิง:

    “เราต้องมั่นใจว่าเทคโนโลยีถูกปรับให้เข้ากับผู้คน ชีวิตและความหวังของพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่ม”

    นี่คือการเปลี่ยนมุมมองครั้งสำคัญ – แทนที่จะบังคับมนุษย์ให้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี เราต้องออกแบบเทคโนโลยีให้รับใช้ความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้น

    การจำกัดที่มีความหมาย

    เทคโนโลยีที่ปรับให้เข้ากับมนุษย์คือเทคโนโลยีที่ถูกจำกัดอย่างเหมาะสม:

    • จำกัดไม่ให้ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
    • จำกัดไม่ให้เพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคม
    • จำกัดไม่ให้ทำลายคุณค่าของมนุษย์

    ภารกิจหลักของเรา

    สุไลมานเน้นย้ำว่า:

    “ภารกิจเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่การขี่หรือหยุดคลื่นลูกใหม่โดยเปล่าประโยชน์ แต่คือการปั้นแต่งมัน”

    เราไม่สามารถหยุดคลื่นเทคโนโลยีได้ และเราไม่ควรปล่อยให้มันพัดเราไปตามกระแสโดยไร้ทิศทาง

    แต่เราสามารถและควรที่จะปั้นแต่งคลื่นนั้น – กำหนดรูปร่างและทิศทางของมัน เพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดและความเสียหายน้อยที่สุด

    สัญญาแห่งอนาคต

    ครั้งนี้ มนุษย์ต้องมาก่อนเสมอ – ไม่ใช่กำไร ไม่ใช่ประสิทธิภาพ ไม่ใช่ความก้าวหน้าทางเทคนิค แต่เป็นความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์

    เราจะสร้างอนาคตที่เทคโนโลยีรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์รับใช้เทคโนโลยีได้หรือไม่? นี่คือคำถามที่จะกำหนดศตวรรษของเรา


    3 ขั้นตอนเตรียมพร้อมรับคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่

    เราไม่อาจหนีคลื่นได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมได้

    มุสตาฟา สุไลมานได้เสนอแนวทาง 3 ขั้นตอน ที่จะช่วยให้เราพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะมา

    1. ยอมรับว่าคลื่นกำลังมา

    คลื่นเทคโนโลยีใหม่นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    ก้าวแรกของการเตรียมพร้อมคือการยอมรับความจริง:

    • AI และชีววิทยาสังเคราะห์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
    • การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่
    • แม้เราจะคาดเดาผลลัพธ์ทั้งหมดไม่ได้ แต่เราต้องยอมรับว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น

    การปฏิเสธหรือการมองข้ามความจริงนี้จะทำให้เราตกอยู่ในอันตราย

    2. ก้าวทันเทคโนโลยี

    ความรู้คือพลัง – โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

    หากคุณไม่ต้องการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง:

    • ติดตามความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยี
    • เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีใหม่ทำงานอย่างไร
    • ทำความเข้าใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยง

    เปรียบเสมือนการเรียนรู้กระแสน้ำก่อนที่จะว่ายน้ำ – หากคุณไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณไม่มีทางปกป้องตัวเองได้

    3. ปรับแต่งคลื่น

    นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด: การร่วมกันกำหนดทิศทาง

    คลื่นลูกนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมที่จะ:

    • สร้างเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม
    • พัฒนานวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเล็กๆ
    • กำหนดกรอบกติกาที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยง

    เวลาแห่งการตัดสินใจ

    คลื่นกำลังมา และเรามีทางเลือก:

    1. ปล่อยให้มันซัดเราไปตามยถากรรม
    2. พยายามต่อต้านมันอย่างไร้ผล
    3. หรือเรียนรู้ที่จะขี่คลื่นนั้น โดยนำทางให้มันไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

    การเลือกอยู่ที่เรา – และการเลือกนั้นจะกำหนดโลกที่เราจะส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป

    คุณพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการปั้นแต่งคลื่นหรือยัง?

    สรุปสาระสำคัญจาก “The Coming Wave”: เราจะรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีครั้งใหญ่อย่างไร

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา แน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้

    จุดสำคัญที่สุดที่มุสตาฟา สุไลมานต้องการสื่อใน “The Coming Wave” คือ:

    คลื่นเทคโนโลยีลูกใหญ่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าเราจะเตรียมพร้อมหรือไม่ก็ตาม

    AI และชีววิทยาสังเคราะห์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และจะเปลี่ยนแปลงโลกของเราอย่างถอนรากถอนโคน

    เราต้องก้าวไปพร้อมกับคลื่น ไม่ใช่ถูกพัดไปตามคลื่น

    วิธีที่เราตอบสนองต่อคลื่นนี้จะกำหนดอนาคตของเรา:

    • เราต้องเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง
    • เราต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด
    • เราต้องร่วมกันกำหนดทิศทางการใช้งาน

    ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เราต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเราไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ

    อนาคตอยู่ในมือเรา

    ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่า คลื่นเทคโนโลยีลูกนี้จะนำพาเราไปสู่:

    • ยุคทองแห่งความก้าวหน้า ที่แก้ปัญหาความหิวโหย โรคภัย และความยากจน
    • หรือ หายนะอันน่าสะพรึงกลัว ที่ทำลายล้างหรือเปลี่ยนแปลงสังคมไปตลอดกาล

    ทางเลือกอยู่ที่เราและการกระทำของเรา วันนี้

    เวลาคือสิ่งสำคัญ

    เราต้องเริ่มเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้:

    • ทำความเข้าใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานอย่างไร
    • ตระหนักถึงทั้งศักยภาพและความเสี่ยง
    • ร่วมกันกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทาง

    การตัดสินใจของเราวันนี้จะกำหนดโลกที่ลูกหลานของเราจะได้อาศัยอยู่


    “คลื่นลูกใหม่กำลังมา สิ่งที่เราทำกับคลื่นนั้นจะกำหนดชะตากรรมของเรา”

  • บทสรุปรายงาน SCBX AI Outlook 2025

    บทสรุปรายงาน SCBX AI Outlook 2025

    รายงานฉบับนี้นำเสนอ 4 ประเด็นหลักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ AI จะสร้างให้กับโลกในปี 2025

    ประเด็นที่ 1 การแข่งขันระหว่าง AI แบบ Open-Source และ Close-Source ที่ทวีความเข้มข้น

    1. Open-Source หมายถึง ระบบเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบ และพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระ เปรียบเสมือนบริษัทที่มีความโปร่งใสในทุกกระบวนการ

    ส่วน Close-Source คือ ระบบปิดที่เปิดเผยเฉพาะผลลัพธ์หรือบางส่วนของข้อมูลเท่านั้น ไม่เปิดเผยกระบวนการพัฒนาหรือกลยุทธ์ภายใน

    2.ปัจจุบัน โมเดล AI แบบปิด (Close-Source) เช่น ChatGPT และ Claude ยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่าโมเดลแบบเปิด (Open-Source) เช่น Deepseek เนื่องจากได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนที่มากกว่า

    อย่างไรก็ตาม ช่องว่างด้านประสิทธิภาพนี้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสำคัญสองประการ คือ Economies of Speed และ Economies of Scale กล่าวคือ เมื่อมีผู้ใช้จำนวนมากนำโมเดลแบบเปิดไปทดลองใช้ในหลากหลายสถานการณ์ จะเกิดการพัฒนาโมเดลแบบเปิดโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติม

    3.ผลกระทบ เมื่อโมเดลแบบเปิดมีการพัฒนามากขึ้น จะส่งผลให้วงการ AI มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเกินคาด ธุรกิจต่างๆ จะสามารถนำ AI คุณภาพสูงมาใช้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงหรือไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถพัฒนาต่อยอดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

    ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นธุรกิจจำนวนมากฝึกฝน Chatbot เฉพาะทางสำหรับธุรกิจของตนเอง และมี AI Agent ที่สามารถตอบคำถามลูกค้าโดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลได้โดยตรง

      ประเด็นที่ 2 สามเทรนด์หลักของ AI ในยุคถัดไป

      1. Multimodal LLMs เทคโนโลยี AI แบบหลากหลายรูปแบบกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างถาวร

      หากย้อนกลับไปในปี 2021 AI เริ่มมีบทบาทในการแปลงข้อความเป็นภาพ ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากแล้วในเวลานั้น แต่เมื่อมาถึงปี 2025 Multimodal AI หรือ AI ที่มีความสามารถรอบด้าน (เช่น ChatGPT รุ่นล่าสุด) สามารถสร้างภาพจากคำสั่ง ทำการวิจัยเชิงลึก และวิเคราะห์ภาพที่ผู้ใช้ส่งไปได้ AI ประเภทนี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

      ปัจจุบัน SCBX ได้นำ AI แบบ Multimodal มาใช้ในการสร้างระบบครูอัจฉริยะสำหรับการอบรมพนักงาน รวมถึงการจำลองและวิเคราะห์การนำเสนอการขาย (Sales Pitch)

      นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ทางการแพทย์ในการวินิจฉัยโรคจากภาพและข้อมูล หรือในวงการศึกษาที่จะใช้ AI ช่วยอธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้นโดยสามารถตอบโต้แบบทันทีได้

      2.โมเดลขนาดเล็ก (SLMs) สำหรับงานเฉพาะทาง ผู้ที่เคยทดลองใช้ AI ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (เช่น Ollama หรือ Deepseek) จะพบว่ายิ่งเลือกโมเดลที่มีความสามารถสูง ขนาดของข้อมูลก็จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย

      นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลทั่วไปหรือบริษัทขนาดเล็กยังไม่สามารถเข้าถึง AI ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายสูง โมเดลเฉพาะทางเหล่านี้มีขนาดเล็กมากเนื่องจากได้รับการฝึกฝนเฉพาะในขอบเขตงานที่กำหนดเท่านั้น

      ข้อดีคือสามารถทำงานได้โดยใช้ทรัพยากรน้อย ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และมีความเร็วในการประมวลผลที่มากกว่าโมเดลขนาดใหญ่ แม้ว่าประสิทธิภาพอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถือว่าคุ้มค่า เพราะทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

      3.การเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ด้วยเวลาในการคิด ปัจจุบันมีการเปิดตัว AI รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่กำลังเผชิญกับกฎแห่งผลตอบแทนที่ลดลง (Law of diminishing return)

      กล่าวคือ แม้จะมีการลงทุนจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนาอาจไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร เปรียบเสมือนการวิ่ง 1 กิโลเมตรภายใน 3 นาที แต่หากต้องการลดเวลาลงเหลือ 2.5 นาที จำเป็นต้องฝึกซ้อมหนักขึ้นหลายเท่า

      วิธีแก้ปัญหาปัจจุบันคือการให้เวลา AI ในการคิดวิเคราะห์ เมื่อ AI ได้มีโอกาสทบทวนและคิดวิเคราะห์ จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้จากความสามารถเดิมที่มีอยู่ วิธีการนี้ช่วยลดต้นทุนและการใช้ทรัพยากร โดยยังคงสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI ได้มากขึ้น

        ทั้งสามเทรนด์นี้ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ในอนาคต AI จะมีต้นทุนที่ต่ำลง มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

        ประเด็นที่ 3 การมาถึงของ AI Agent

        1.ความสำคัญของ AI Agent AI Agent

        เป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรหรือผู้บริหารควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับประสบการณ์การใช้งาน ChatGPT ครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง AI ประเภทนี้ (ChatGPT หรือ Claude) ถูกเรียกว่า Generative AI (Gen AI)

        2.ความแตกต่างระหว่าง Gen AI และ AI Agent

        Gen AI เป็น AI ที่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการตัดสินใจและรอคำสั่งจากผู้ใช้งานเพื่อสร้างคำตอบ ในขณะที่ AI Agent สามารถคิดและประมวลผลได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง ทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งในทุกขั้นตอน

        3.กรณีศึกษาจาก SCBX SCBX ได้ทดลองสั่งให้ Gen AI และ AI Agent วิเคราะห์หุ้น

        พบว่า Gen AI ที่คนทั่วไปใช้งานสามารถวิเคราะห์ได้เพียงผิวเผินและข้อมูลไม่ครบถ้วน ในขณะที่ AI Agent สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด เรียกใช้เครื่องมือทางการเงิน และสร้างรายงาน ตารางสถิติ อัตราผลตอบแทนได้อย่างครบถ้วน

        4.การประยุกต์ใช้งาน AI Agent สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานได้อย่างมาก โดยสามารถทำงานหลายอย่างแทนมนุษย์ได้โดยที่ไม่ต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด

          ประเด็นที่ 4 AGI – ความก้าวหน้าสู่ความเป็นมนุษย์

          1.AGI คืออะไร

          AGI (Artificial General Intelligence) หมายถึง AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และทำงานต่างๆ ได้เสมือนมนุษย์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนา AI

          อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกัน เนื่องจากสมองมนุษย์ทำงานแตกต่างจากคอมพิวเตอร์อย่างมาก มนุษย์เข้าใจบริบท มีความคิดสร้างสรรค์ และตัดสินใจบนพื้นฐานของค่านิยมและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งการจำลองสิ่งเหล่านี้ยังเป็นความท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน

          2.มุมมองผู้เชี่ยวชาญ

          ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น
          👉 Sam Altman (ผู้ก่อตั้ง OpenAI – บริษัทเจ้าของ ChatGPT) เชื่อว่า AGI อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์
          👉 ในขณะที่ Mustafa Suleyman (CEO ของ Microsoft AI) เชื่อว่าจะใช้เวลามากกว่า 10 ปีกว่าที่เราจะได้เห็น AGI ที่แท้จริง

          3.กรณีศึกษาของ SCBX

          SCBX ได้นำเสนอกรณีศึกษาเกี่ยวกับการนำโมเดล Typhoon (LLM ภาษาไทย) ที่พัฒนาขึ้นเองมาใช้ในหลายภาคส่วนธุรกิจ เช่น โรงพยาบาลศิริราช, VISAI และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

            บทสรุป

            เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเปรียบเสมือนยุคเริ่มต้นของเว็บไซต์ ที่หลายบริษัทคิดว่าไม่จำเป็นและปฏิเสธการใช้งาน แต่ในปัจจุบัน เว็บไซต์และอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เราใช้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องพิเศษ เช่นเดียวกัน AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเราอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาและเริ่มทดลองใช้งานตั้งแต่ตอนนี้

            สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้ แนะนำหนังสือ “The Coming Wave” ซึ่งอธิบายถึงการเปลี่ยนผ่านของแต่ละยุคและผลกระทบที่ AI กำลังสร้างให้กับโลกของเรา

          1. SIM Box (GSM Gateway) คืออะไร?

            SIM Box (GSM Gateway) คืออะไร?

            Subscribe to continue reading

            Subscribe to get access to the rest of this post and other subscriber-only content.

          2. ฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นต้องทำอย่างไร

            ฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นต้องทำอย่างไร

            แน่นอนครับว่าการพิมพ์เร็วจะช่วยทำให้เราประหยัดเวลาลงได้อย่างมาก เราจะได้เอาเวลาไปทำสิ่งต่างๆ ได้เยอะขึ้น

            แต่จะทำยังไงให้พิมพ์เร็วได้ขึ้นละ ?

            “ตอบได้คำเดียวว่า ฝึกฝน”

            แนะนำ Web สำหรับเอาฝึกฝน monkeytype https://monkeytype.com/ เป็นเวบไซต์ ที่เอาไว้ฝึกฝน การพิมพ์ให้เร็วขึ้น

            การฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นนั้นก็ถือเป็น Productivity Hard Skill ที่สามารถฝึกฝนได้และเห็นผลได้อย่างชัดเจน

            monkeytype.com — เป็นเว็บสำหรับฝึกพิมพ์ไวโดยเฉพาะ ข้อดีของมันก็คือ UI ดูสบายตา ใช้งานง่าย และมีโหมดที่ไว้สำหรับฝึกพิมพ์หลากหลาย เช่น พิมพ์แบบจำกัดเวลา (time mode) หรือแบบพิมพ์ตามจำนวนคำที่เราตั้งเอาไว้ (quota mode) เป็นต้น และยังสามารถ track คำที่เราพิมพ์ผิดบ่อยเพื่อฝึกเฉพาะคำนั้นได้ด้วย

            สามารถตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะพิมพ์ “ให้ได้สูงสุด กี่ words per minute (wpm)” ได้

            ทำยังไงให้พิมพ์เร็วได้ขึ้น

            ก่อนอื่นเลยครับ เลือกภาษาที่ต้องการฝึกก่อน จากนั้นก็มาที่ส่วนของการวางนิ้ว ต้องวางนิ้วให้ถูกตำแหน่งกันก่อน ถ้าสังเกตแป้นพิมพ์เกือบทุกแป้นดีๆ แล้วจะเห็นปุ่มเล็กๆ นูนตรงตัว F และ J ซึ่งนั่นก็คือตำแหน่งที่วางนิ้วชี้ทั้งสองนั่นเองครับ

            • โดยด้านซ้ายมือวางนิ้วชี้ -f นิ้วกลาง -d นิ้วนาง -s และนิ้วก้อย -a
            • ส่วนทางด้านขวามือนิ้วชี้ -j นิ้วกลาง -k นิ้วนาง -l และนิ้วก้อย-;
            • ส่วนนิ้วโป้งทั้งสองนั้นให้วางบน Spacebar ครับ

            สำหรับเทคนิคในช่วงแรกที่จะทำให้คุณพิมพ์ได้เร็วขึ้น ก็มีดังนี้ครับ

            1. ในการฝึกนั้นพยายามอย่ามองแป้นพิมพ์ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่ชิน แต่ถ้าฝึกบ่อยๆก็จะทำให้แม่นยำในการพิมพ์มากขึ้น จนไม่จำเป็นต้องมองแป้นพิมพ์อีกต่อไป และเมื่อแม่นยำมากขึ้นแล้วก็จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้นครับ
            2. ช้าๆ แต่แม่นยำดีกว่าเร็วแต่ผิด อันนี้เป็นสิ่งที่หลายๆคนพยายามที่จะทำในช่วงแรกโดยการพิมพ์เร็วๆแต่ไม่มีความแม่นยำจึงทำให้ผิดและก็ต้องมาเสียเวลากด Backspace ซึ่งเมื่อเทียบแล้วมันช้ากว่าพิมพ์ช้าๆแต่แม่นยำครับ
            3. นั่งตัวตรงและข้อศอกวางมุม 90 องศา ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมกับการพิมพ์เร็ว
            4. ปุ่ม shift ปุ่ม enter ปุ่ม backspace ใช้นิ้วก้อยกดเท่านั้น ปุ่ม shift กับ enter อาจจะไม่ยากเท่าไรนัก แต่ปุ่ม backspace นั้นยากเพราะอยู่ไกล พยายามฝึกบ่อยๆครับจะชินไปเอง
            5. พยายามวางตำแหน่งนิ้วที่ตำแหน่ง “asdf jkl;” ตลอดครับ

            เมื่อฝึกตามนี้แล้วประมาณ 2–3 สัปดาห์ก็จะทำให้การพิมพ์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

            แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรละ ว่าพิมพ์เร็วแค่ไหน ?

            ก่อนอื่นต้องรู้คำว่า “wpm” ว่าคืออะไรก่อน

            wpm ย่อมาจาก words per minute หรือ คำต่อนาที เป็นการวัดว่าในหนึ่งนาทีนั้นพิมพ์ได้กี่คำ

            เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ความเร็วประมาณ 70–90 wpm ก็ถือว่าเร็วแล้วครับ แต่ถ้าหากต้องการที่จะพิมพ์ให้เร็วกว่า 100 wpm คีย์บอร์ดก็มีส่วนครับ

            และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ครับ

          3. Mail Merge

            Mail Merge

            จดหมายเวียน คือ จดหมายที่มีข้อความเหมือนๆ กัน จะมีข้อความแตกต่างกันเพียงบางส่วนเท่านั้น การสร้างจดหมายเวียนจึงช่วยลดขั้นตอนและประหยัดเวลาในการทำงาน โดย Word สามารถสร้างฟอร์ม จดหมายและข้อมูลผู้รับ โดยนำเอกสารทั้ง 2 ส่วนมาผนวกกัน

            มีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

            1.เตรียมไฟล์รายชื่ิอในโปรแกรม Microsoft Excel

            2.ไปที่ Microsoft Word >> Mailings >> Select Recipients>>Use an Existing list

            3.ไปที่ Insert Merge Field แล้วเลือกข้อมูลที่ต้องการจะใส่ในแต่ละส่วน

            4.แทรกข้อมูลที่ต้องการนำเข้า

            5.กด Preview Results เพื่อดูผลลัพธ์

            6.ไปที่ Finish & Merge >> Print Documents

          4. เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญของงาน

            เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญของงาน

            ในแต่ละวัน..
            เรามักจะหมดไปกับการทำงานที่แม้แต่เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจถึง

            “ขนาดความสำคัญของงานเท่าไหร่นัก”

            เพราะเราไม่เคยนั่งวิเคราะห์ประเภทงานที่รับผิดชอบอย่างจริงจัง แล้วส่วนใหญ่ก็คิดว่า “งานทุกงานก็สำคัญเท่ากันหมด” จนเราจะหัวหมุนกับตารางงานที่เต็มแน่น เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนบ้างไหม? การตัดสินใจว่าจะลงมือทำแต่ละงานเมื่อใด อย่างไร และกับใคร

            แต่…จริงๆ แล้ว ด้วย Framework นี้ เราสามารถแบ่งประเภทงานได้เป็น


            (1) สำคัญมาก และทำได้ง่าย : งานประเภทนี้ใช้ทักษะที่เราคุ้นเคยและชำนาญอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องใส่ใจและละเอียด รวมถึงต้องใช้เวลาอย่างเต็มที่ คำแนะนำคือ ”เลือกทำก่อน“

            (2) สำคัญมาก แต่ทำได้ยาก : งานลักษณะนี้ต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน มีการติดตามและการวางแผนที่เป็นระบบ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยทักษะและความร่วมมือของทีม ดังนั้นคำแนะนำก็คือ ”วางแผน และทำตามแผนงาน“ ที่สำคัญอย่าทำคนเดียว

            (3) สำคัญน้อย แต่ทำได้ง่าย : ถ้าเรามีงานลักษณะนี้อยู่ในมือ และมีมือใหม่ที่พร้อมช่วยเหลือ ไอเดียที่ดีก็คือ ”หาคนมาช่วยทำ ฝึกทักษะให้มือใหม่พัฒนา เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้ช่วยเหลืองานที่สำคัญมาก แต่ทำได้ยากได้

            (4) สำคัญน้อย และทำได้ยาก : งานประเภทนี้มักจะมาในรูปแบบของงานในฝัน ความคาดหวังว่าจะปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นนามธรรม จับต้องได้ยาก หากไม่สำเร็จก็ไม่ถึงกับ… สะดุด ดังนั้นถ้าเจองานแบบนี้ ใส่ไว้ในช่องทำทีหลังก่อนได้

            วางแผนให้ดี และใช้เวลาเพิ่มอีกนิด เราจะพบว่า

            “หลายงานไม่รีบ และไม่ด่วนเท่ากับที่คิดเลย”

            การจัดลำดับงานแบบนี้ จริง ๆ เรียกว่า Eisenhower Matrix

            Eisenhower Matrix คือ เทคนิคที่ตั้งชื่อตาม ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่พัฒนาวิธีการจัดการงานและเวลาขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถ 1) ประเมินความเร่งด่วนและความสำคัญของแต่ละงาน และ 2) ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการทำงานเหล่านั้นให้สำเร็จ

            ความแตกต่างระหว่างงานเร่งด่วนและงานสำคัญคือ งานเร่งด่วนมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการทำงานให้เสร็จสิ้น ในขณะที่ความสำคัญของงานขึ้นอยู่กับว่างานนั้นเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จมากน้อยเพียงใด

            งานเร่งด่วนต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด งานเหล่านี้อาจเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ให้ความสนใจทันทีหรือไม่ทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด ความล่าช้าของคุณอาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงการของคุณอย่างแน่นอน

            เราจะสร้าง Eisenhower Matrix ได้อย่างไร?

            การสร้าง Eisenhower Matrix ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่วาดตารางสองคูณสอง แกน X ใส่ “เร่งด่วน” และ “ไม่เร่งด่วน” และแกน Y ใส่ “สำคัญ” และ “ไม่สำคัญ” ตารางของคุณควรมีหน้าตาดังนี้:

            1. เร่งด่วน/สำคัญ (“ทำทันที”) : งานที่อยู่ในหมวดหมู่นี้เป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องดำเนินการโดย คุณ ทันที (หรือภายในกรอบเวลาที่กำหนด)

            2. เร่งด่วน/ไม่สำคัญ (“มอบหมาย”) : งานที่อยู่ในช่องนี้จำเป็นต้องถูกจัดการทันที แต่ไม่จำเป็นต้องให้คุณมีส่วนร่วมโดยตรง คุณสามารถมอบหมายงานประเภทนี้ให้คนอื่นไปจัดการแทนคุณได้

            3. ไม่เร่งด่วน/สำคัญ (“วางแผน”) : งานในลักษณะนี้ต้องดำเนินการอย่างใส่ใจ เนื่องจากมีความสำคัญต่อความก้าวหน้าของโครงการของคุณ อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้สามารถทำได้ในระยะยาว เนื่องจากไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่แน่นอน สามารถทำการวางแผนการจัดการได้

            4. ไม่เร่งด่วน/ไม่สำคัญ (“ลดการทำงาน หรือ ลบทิ้ง”) : คุณไม่จำเป็นต้องใส่งานเหล่านี้ในตารางงานของคุณ เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประสิทธิภาพการทำงาน และยังดึงสมาธิหรือความสนใจของคุณไปจากเป้าหมายรายวันหรือภาพรวมใหญ่อีกด้วย

            นำมาปรับใช้กับการจัดการเทคนิคการรู้และไม่รู้

            หากเรานำหลักการ Eisenhower Matrix มาจัดการกับกระบวนการในเรื่องความรู้ และความไม่รู้ ก็สามารถสร้างเทคนิคการรู้และไม่รู้ได้ดังนี้

            “Known Unknown”

            หลักคิดของ Known Unknowns (รู้-ไม่รู้) ที่สามารถบอกได้ว่า สิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้ล้วนอยู่ในส่วนหนึ่งส่วนใดใน 4 ช่องของภาพนี้ เป็นเรื่องของความตระหนักรู้และความเข้าใจ (Aware และ Understand) ที่แตกต่างและต้องเน้นย้ำว่าความตระหนักรู้และความเข้าใจนั้นสามารถแบ่งได้ทั้งหมดถึง 4 ประเภท

            1.Known Knowns สิ่งที่เรารู้แล้วว่า เรารู้ คือ สิ่งที่เรารับรู้แล้วว่าเป็นความจริง (Fact) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

            2.Known Unknowns เรารู้แล้วว่า เรายังไม่รู้อะไร คือ เราได้รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไร และที่เรายังไม่รู้ ยังเป็นคำถามที่เราต้องการหาคำตอบ  

            3.Unknown Knowns สิ่งที่เรารู้และเข้าใจแล้วแต่ยังไม่รู้ลงไปลึกๆ ว่ามันมีอะไรที่ยังซ่อนอยู่และเรายังไม่รู้อีกหรือไม่ คือ เป็นเรื่องที่คนเรารู้และเข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วยังไม่รู้ในรายละเอียดลึกๆ ว่ามีผลกระทบอะไร หรือมีประเด็นอะไรที่มากกว่านี้อีกไม่ กล่าวโดยสรุปได้ว่า ไม่รู้จักในสิ่งที่คิดว่ารู้แล้วอย่างแท้จริง

            4.Unknown Unknowns สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ในสิ่งนั้น เรียกได้ว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย เป็นจุดบอด (Blind Spot) 

            Known / Unknown

            สรุปรวม: เอามาสรุปรวมทั้งหมดให้อยู่ในภาพเดียวกัน ลองเราไปปรับใช้ในการทำงานของเรากันดูครับ เผื่อจะได้เกิดประโยชน์ในการทำงาน

          5. คุณสมบัตินักสืบในยุคดิจิทัล Style Data Analyst Baan Baan..

            คุณสมบัตินักสืบในยุคดิจิทัล Style Data Analyst Baan Baan..

            WK Data Analyst !… เป็นเว็บบล็อกของกลุ่มนักสืบสไตล์บ้าน ๆ  🕵️… ที่ต้องการจะรวบรวมความรู้เกี่ยวกับด้านการสืบสวน เพื่อทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ข้อมูล มีเจตนารมณ์สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางของการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ในยุคการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดในยุคนี้คือการปรับตัวที่ช้าเกินไป

            นักสืบในยุคปัจจุบันจะต้องมีความรู้ความสามารถในหลายด้าน เก่งทุกด้าน โดยไม่ต้องเก่งสุด แต่จะต้องเก่งขึ้นทุกวัน และที่สำคัญ จะต้องเก่งเกินค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปในด้านนั้น ๆ ด้วยถึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            หลายคนน่าจะมีความสงสัย หรือมีคำถามในใจว่า “เอ้ย ทำไม่ต้องเรียนรู้เยอะ…”
            😗 ยิ่งเราเรียนเยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรามีความรู้มากขึ้น และ ยิ่งเรามีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราทำอะไรได้มากขึ้น ทำให้งานที่เราทำประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

            📌เราเชื่อว่า ชีวิต คือเมล็ดพันธุ์ที่รอการเติบใหญ่ “Eudaimonia” (ยู โด โม เนีย) คือความดีงามที่อยู่ในตัวเราตั้งแต่เกิด

            หน้าที่ของพวกเราคือการใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้เข้าใกล้กับ “The Best Version of Ourself” ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นถามตัวเองทุกเช้าว่า “คิดว่าเราวันนี้เป็นตัวเองเวอร์ชันที่ดีที่สุดหรือยัง?”

            ถ้าตอบว่า “ยัง” ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า คำตอบต้องเป็น “ยัง” เสมอ

            เราต้องถามต่อว่า ” แล้วเราจะรออะไรอยู่ ? “

            ทำไมวันนี้ ไม่พยายามเป็นตัวเองเวอร์ชันที่ดีที่สุดเลย

            “ความรู้ไม่มีคำว่าฟรี
            คุณจะต้องจ่ายมันด้วยเวลาที่คุณมี !!”


            เกริ่นนำกันมาเยอะ เพื่อปรับ mindset ของบรรดาจอมยุทธ์นักสืบ ในยุคการเปลี่ยนแปลง มาดูกันว่าในยุคการเปลี่ยนแปลงนี้ บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีความรู้เรื่องอะไรกันบ้าง 👀

            Skill ที่บรรดาจอมยุทธ์นักสืบ จะต้องมี

            1. Domain Knowledge ขอบเขตงานสืบสวน
            2. Data หรือข้อมูล (ข้อเท็จจริง) สำหรับงานสืบสวน
            3. Software สำหรับงานสืบสวน
            4. Code / Prompt การโค๊ดและเขียนคำสั่ง สำหรับงานสืบสวน
            5. Statistics เรื่องสถิติ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องสถิติ
            6. Design for Analysis การออกแบบเพื่อการวิเคราะห์สำหรับงานสืบสวน
            7. Storytelling with Data การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล
            8. English Language ภาษาอังกฤษ ในยุคปัจุบัน สำคัญมาก ๆ
            9. Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์ หรือการคิดเป็นมีวิจารณญาณ

            Domain Knowledge

            ขอบเขตงานสืบสวน

            ⏩สำหรับเรื่องขอบเขตงานสืบสวน เป็นเรื่องที่กว้างมาก ที่บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีองค์ความรู้ในด้านการสืบสวนครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน (เดินดินได้ เดินอากาศได้ ทำข้อมูลบนโต๊ะได้) ไม่ว่าจะเป็น

            • ความรู้ด้านกฎหมาย โดยเฉพาะ กม.อาญา , วิ.อาญา พ.ร.บ.ที่มีโทษทางอาญา รวมถึงฎีกาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันเหล่าจอมยุทธ์ ในยุทธจักร ศึกษา หรือทบทวน กฎหมายน้อย มาก และที่สำคัญบรรดาเหล่านักสืบ จะต้อง มีความรู้ในเรื่องการ แสวงหาพยานหลักฐาน และ การรวบรวมพยานหลักฐาน นั้นหมายความว่า บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีความรู้ในด้านการสืบสวน และ ด้านการสอบสวน
            • ด้านการสอบสวน เช่น
              • ต้องมีความรู้กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐาน ว่าอะไรทำได้ และ อะไรทำไม่ได้ หากทำได้จะต้องใช้อำนาจอะไร ในการรวบรวมพยานหลักฐาน
              • มีความรู้ในเรื่องกฎหมายลักษณะพยาน ในลักษณะรู้จริง
              • มีความรู้ในเรื่องการร้อยเรียงเชื่อมโยงพยานหลักฐาน
              • ฯลฯ
            • ด้านการสืบสวน เช่น
              • ต้องมีความรู้เรื่องหลักการสืบสวน ว่าการสืบสวนก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลักเกิดเหตุเป็นอย่างไร
              • ต้องมีความรู้เรื่องเทคนิคการสืบสวน เช่น การซักถามปากคำ การสะกดรอย การเฝ้าจุด การสืบสวนกล้องวงจรปิด การสืบสวนเรื่องโทรศัพท์ การสืบสวนเรื่องการเงิน การสืบสวนทางเทคโนโลยี ฯลฯ
              • ต้องมีความรู้เกียวกับโลกเทคโนโลยี ข้อเท็จจริงทางเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างมากมาย
              • ฯลฯ
            • ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

            Data หรือข้อมูล

            ข้อมูล (ข้อเท็จจริง)

            📊ในยุคการเปลี่ยนแปลง เรื่องข้อมูล (data) หรือมันก็คือข้อเท็จจริง ที่เหล่าบรรดานักสืบ จะต้องทำการสืบสวน แสวงหาและรวบรวม เพื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อทราบข้อเท็จจริง หรือพิสูจน์ความผิด ความบริสุทธิ์ และเพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษ บรรดาเหล่านักสืบ จะต้องเข้าใจและมีความรู้เรื่อง Data (ข้อมูล)

            ดังนั้นบรรดาเหล่านักสืบ จะต้องทราบว่า ข้อมูลที่เกิดขึ้นอยู่ในโลกใบนี้ มีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท อะไรบ้าง ?

            • แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
              • ข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ (Demographic Data) เช่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด อาชีพ รายได้ สถานภาพการสมรส จำนวนบุตร ฯลฯ
              • ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Behavioural Data) เช่น พฤติกรรมการใช้งานต่าง ๆ จากบุคคล หรือสิ่งของ
              • ข้อมูลเชิงเครือข่าย (Network Data) เช่น ข้อมูลที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคล หรือสิ่งของ , การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ หา influencer หา community
            • แบ่งตามรูปแบบของข้อมูล
              • ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured Data) เช่น ข้อมูลที่เก็บอยู่ในรูปแบบตาราง
              • ข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อมูลที่เป็นข้อความ รูปภาพ
              • ข้อมูลแบบกึงมีโครงสร้าง (Semi-structured Data) เช่น ข้อมูล XML หรือ JSON
            • แบ่งตามแหล่งที่อยู่ของข้อมูล
              • ข้อมูลภายในองค์กร (Internal Data Sources)
              • ข้อมูลภายนอกองค์กร (External Data Soruces)

            ข้อมูลทั้งสามรูปแบบ เราจะพบได้ในงานการสืบสวน ทั้งที่เป็นข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ข้อมูลภายใน และ ภายนอกองค์กร ที่เป็นทั้งแบบมีโครงสร้าง เช่น การใช้งานโทรศัพท์ ข้อมูลบัญชีธนาคาร ฯลฯ และแบบไม่มีโครงสร้าง เช่น กล้องวงจรปิด การซักถามปากคำ ฯลฯ ดังนั้นนักสืบที่เก่ง และประสบความสำเร็จ จะต้องสามารถเข้าใจ ข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริง ทางการสืบสวน ว่ามีอะไรบ้าง ข้อมูลแต่ละรูปแบบ เป็นอย่างไร สามารถแสวงหาข้อมูลได้ ครบทุกข้อเท็จจริง

            Code / Prompt

            การเขียนโค๊ด หรือ การเขียน Prompt ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานสืบสวน ได้

            ✅ Prompt Engineerting เป็นทักษะที่เราจะออกแบบตัว Input ที่จะส่งเข้าไปใน AI เพื่อให้ได้ Output อย่างเหมาะสม

            เป็นทักษะที่เราคิดค้น Prompt ปรับปรุง Prompt เพื่อส่งเข้าไปในแบบจำลอง แล้วให้แบบจำลองมันทำงานออกมา ตามที่เราต้องการ หรือเอาไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

            Elements of a prompt หรือ “องค์ประกอบของคำสั่งพร้อมต์” ในการทำงานกับระบบ AI ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจวิธีการสร้างคำถามหรือคำสั่งที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น นี่คือองค์ประกอบหลักๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อออกแบบพร้อมต์

            หลักการเขียน Prompt อย่างถูกต้อง

            1. Clarity (ความชัดเจน): เขียนให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการตอบที่ผิดหรือไม่สมบูรณ์
            2. Context (บริบท): ให้ข้อมูลหรือบริบทเพียงพอ เพื่อให้ AI เข้าใจหัวข้อและรายละเอียดที่ต้องการ
            3. Conciseness/Brevity (ความกระชับ): เขียนให้กระชับ แต่ครอบคลุมรายละเอียดที่จำเป็น
            4. Structure (โครงสร้าง): ใช้ภาษาที่มีโครงสร้างชัดเจนและรูปแบบที่เข้าใจง่าย
            5. Examples (ตัวอย่าง): หากเป็นไปได้ ให้ตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการอะไร

            Components of Effective Prompts:

            • Role (บทบาท)
            • Instruction (คำสั่ง)
            • Context (บริบท)
            • Examples (ตัวอย่าง)

            Prompt Engineering เป็นทักษะที่สำคัญในการใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ LLMs เช่น ChatGPT การเรียนรู้วิธีการเขียน prompt ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ

            Software

            โปรแกรม หรือ Software ที่ใช้งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานสืบสวน

            ✅ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีรวดเร็วมาก และเป็นยุคที่การเจริญเติบโตทางเทคโนโลยี เติบโตเร็วมาก การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มีการนำเอา software มาใช้งานในการอำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต ดังนั้นบรรดาเหล่านักสืบ จะปฏิบัติว่าเราไม่มีความรู้เรื่อง software ไม่ได้ หรือใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ไม่เป็น เพราะปัจจุบัน software มันกลายเป็นส่วนหนึงของชีวิต

            หากใครลองสังเกตดูจะเห็นว่า ปัจจุบันนักสืบ ที่เจริญเติบโต และ ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกใช้งานบ่อย ๆ ก็จะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความชำนาญในการใช้งาน Software

            🚩ในงานด้านการสืบสวน จะมี Software ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในงานการสืบสวนน้อยมาก ส่วนมากบรรดาเหล่านักสืบ จะประยุกต์ใช้งาน Software ในด้านต่าง ๆ กับงานสืบสวน เช่น

            • software หรือ application ที่ใช้สำหรับในการเดินเบส หาเสา ก็จะประยุกต์ใช้ App ที่เป็นลักษณะพวก Call Signal , Call Tower Locator
            • software หรือ application ที่ใช้สำหรับในการไล่กล้องวงจรปิด ก็จะประยุกต์ใช้ software หรือ app ที่เป็นลักษณะแผนที่ การบวกลบเวลา เช่น Google maps , TimeCale ฯลฯ
            • software ที่ใช้สำหรับในการเก็บข้อมูล จัดการข้อมูล หรือวิเคราะห์ข้อมูล ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะ Spreadsheets (Google Sheets / Excel)
            • software ที่ใช้สำหรับในการวิเคราะห์ข้อมูล ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล เช่น ANB (i2) , PowerBI ฯลฯ
            • software ที่ใช้สำหรับในการทำรายงานการสืบสวน หรือทำเอกสารการนำเสนอ ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะของการจัดการเอกสารประเภท document เช่น word , powerpoint ฯลฯ
            • software อื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับงานสืบสวน

            ดังนั้นในยุคปัจจุบัน เหล่าบรรดานักสืบ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ จำเป็นจะต้องรู้ หรือเรียนรู้ พวก software ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานสืบสวนได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าจะต้องใช้งานได้เป็นอย่างดีด้วย

            Design for Analysis

            การออกแบบสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล

            การวิเคราะห์ข้อมูล ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสืบสวน เพราะหลังจากที่เราแสวงหาข้อเท็จจริง และ รวบรวมข้อเท็จจริง หรือข้อมูลมาได้แล้ว จะต้องนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการเตรียมข้อมูล (Preparation Data) แล้วถึงนำข้อมูลที่ได้ไปทำการวิเคราะห์หา Insight Data เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ

            • การเตรียมข้อมูลมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน
              • ทำการคัดเลือกข้อมูล (Data Selection) กำหนดเป้าหมายก่อนว่าเราจะวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องอะไร และเลือกใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะวิเคราะห์
              • ทำการกลั่นกรองข้อมูล (Data Cleaning) เช่น ลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อนออก หรือ แก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด เช่น ข้อมูลผิดรูปแบบ , ข้อมูลที่ขาดหายไป , ข้อมูลที่เป็น Outlier ที่แปลกแยกจากคนอื่น
              • ทำการแปลงรูปแบบของข้อมูล (Data Transformation) เป็นขั้นตอนการเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมนำไปใช้ในการวิเคราะห์

            “วัตถุประสงค์หนึ่งของการทำ Data Analytics คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ”

            การวิเคราะห์ข้อมูล จะแบ่งเป็น 5 ส่วนคือ

            1. Data คือ ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์
            2. Analytics คือ การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ
            3. Human Input คือ สัดส่วนของการที่คนเข้าไปมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูล
            4. Decision or Insight คือ การตัดสินใจ และ สิ่งที่สำคัญที่ค้นพบจากการวิเคราะห์ (insight)
            5. Action คือ การนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ในการทำงาน
            • Gartner ได้แบ่งระดับของการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ 4 ระดับ ได้แก่
              • Descriptive คือ การวิเคราะห์เชิงเชิงพรรณา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น (What happened?) ส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณาตัวแปรเดียว และ คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจค่อนข้างสูงมาก
              • Diagnostics คือ การวิเคราะห์เชิงวินิจฉัย เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เพื่อหาสาเหตุว่าทำไม่ถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น (What did it happen?) เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกมากกว่าระดับแรก ส่วนใหญ่จะพิจารณาหลายตัวแปรพร้อมกัน และ คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจยังมากอยู่
              • Predictive คือ การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ เป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีต เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือใช้ตอบคำถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป (What will happen?) คนมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจน้อยลง เนื่องจากระบบได้ทำการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาให้
              • Prescriptive คือ การวิเคราะห์เชิงแนะนำ เป็นการวิเคราะห์โดยการใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมแนะนำแนวทางที่เหมาะสมให้ คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเลย เนื่องจากระบบได้ทำการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาให้ และแนะนำแนวทางที่เหมาะสมให้ด้วย

            สำหรับงานสืบสวนแล้ว บรรดาเหล่านักสืบ จะใช้ระดับการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ 2 ระดับคือ Descriptive กับ Diagnostics ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ ข้อมูลในอดีต เพื่อจะต้องการทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไม่ถึงเกิดขึ้น

            • เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลที่นักสืบใช้งานบ่อย
              • Classification คือ การจำแนกข้อมูล แบ่งเป็นกลุ่ม เป็นคลาส คำตอบจะเป็น class ว่าเป็น class a หรือ class b หรือคำตอบจะเป็น ใช่ หรือ ไม่ใช่ เป็นต้น
              • Clustering Analysis คือ การวิเคราะห์การจัดกลุ่มข้อมูล ตามความคล้ายคลึงกัน ว่ามีอยู่กี่กลุ่ม
              • Association Analysis คือ การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกิดร่วมกัน
              • Time Series Analysis คือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับกรอบของเวลา โดยจะประยุกต์กับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
              • Geospatial Analytics คือ การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ โดยใช้ลักษณะทางภูมิศาสตร์
              • Network Analysis คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่าย จะประกอบไปด้วยโหนด (Node) และเส้นเชื่อม (Edge)
                • Degree Centrality เป็นการวัดค่าของแต่ละโหนด ถ้าโหนดใดมีเส้นเชื่อมต่ออยู่เยอะถึอว่าเป็นโหนดที่สำคัญ เพราะสามารถส่งข้อมูลกระจายออกไปยังโหนดอื่นได้มาก
                • Betweenness Centrality เป็นการวัดค่าว่าโหนดแต่ละโหนดเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงไปยังโหนดอื่นมากน้อยแค่ไหน จะมองว่าเป็น ฮับ (Hub)
                • Closeness Centrality เป็นการวัดค่าว่าโหนดใดบ้างสามารถส่งข้อมูลไปยังโหนดอื่นได้เร็วที่สุด การคำนวณจะหาเส้นที่ใกล้ที่สุด

            Storytelling with Data

            การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล

            Data storytelling เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรือกราฟให้เข้ากับการสื่อสารของมนุษย์เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยใช้เทคนิคทาง Data visualization เพื่อสื่อความหมายของข้อมูลเชิงลึกในลักษณะที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ

            ✅ ในยุคปัจจุบัน การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล มีความสำคัญเป็นอย่างไรมาก ใครที่สามารถนำเสนอเรื่องราว ได้ดีและตรงจุด จะสามารถประสบความสำเร็จในการทำงาน เช่นเดียวกับ บรรดาเหล่านักสืบ หากทำการสืบสวนมาเกือบตาย แต่ปรากฎว่าไม่สามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่ได้จากการสืบสวนและการวิเคราะห์ข้อมูลได้ ก็เท่ากับว่าเปล่าประโยชน์ ดังนั้นนักสืบที่ดีจะต้อง สามารถนำเรื่องราวข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวน และการวิเคราะห์ข้อมูล มาทำรายงานการสืบสวน ทำเอกสารบรรยายสรุป และ เล่าเรื่องราวเชื่อมโยงได้

            การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลแบบหวังผล สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน

            1. การเข้าใจความสำคัญของบริบท (The Importance of Context) ในการทำ Data visualization เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบคำถาม “ใคร (Who)” และ “อะไร (What)”
            2. การเลือกภาพที่หวังผลได้ มีประสิทธิภาพ (Choosing an Effective Visual) เพื่อการสื่อสาร
            3. การลดความยุ่งเหยิง (Clutter Is Your Enemy!) เป็นการลดปัญหาความซับซ้อนและรายละเอียดสิ่งที่ไม่จำเป็นในภาพ
            4. โฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชม (Focus Your Audience’s Attention) การโฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชมเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ
            5. การคิดอย่างนักออกแบบ (Think Like A Designer) เป็นการเทียบเคียงแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์มาใช้อธิบายสื่อสารข้อมูล

            Suddenly Talented การพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นมาทันที

            Talent คือความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด “inborn” หรือ จริง ๆ แล้วเราสามารถฝึกฝนเพื่อ “acquire” ทักษะนี้ได้

            ถ้า talent เป็นเรื่องที่เราพัฒนาได้จริง คำถามก็คือ ต้องฝึกนานเท่าไหร่ ต้องฝึก หรือ ต้องเรียนถึง 10,000 ชั่วโมง เหมือนที่ conventional wisdom บอกไว้เลยไหม?

            การก้าวข้ามผ่านการเป็นแค่ค่าเฉลี่ย ให้ดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่จำเป็นเก่งที่สุดก็ได้ (คล้ายๆ Generalist) นั้นเราจะต้องทำอย่างไร ??

            Talent (n.) แปลไทยตรง ๆ ว่าพรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษ

            talent คือ perception (การรับรู้)  ที่คนอื่น ๆ มองมาที่เรา ทุกอย่างในโลกจริง ๆ เป็น perception หมดเลย

            ถ้าเราเป็นคนที่มีทักษะสูงกว่าค่าเฉลี่ย นิดหน่อย ทำได้หลายทักษะ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรอบข้างมองเราเป็น talent แล้ว

            Skill stacking (n.) คือการผสมผสานหลาย ๆ ทักษะมาใช้ทำงานให้สำเร็จ

            skill spectrum แบบเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ no skill หรือ hopeless < average < doable greatness < genius (mastery หรือ talent)

            คำถามคือเราจะฝึกยังไง ต้องเรียนแบบไหน ที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นเร็วที่สุดภายใน 20 ชั่วโมง? 

            สมองเราจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่เคยฝึกใช้มันเลย ทักษะก็คงไม่เกิด

            กฎ 10,000 ชั่วโมง ที่บอกว่าคน ๆ หนึ่งเราสามารถฝึกทักษะอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็น 10,000 ชั่วโมง ที่บอกว่าคน ๆ หนึ่งต้องฝึกฝนตัวเองเป็นหมื่นชั่วโมง เพื่อจะได้เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญที่แท้จริง

            เราสามารถฝึกทักษะอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็น 10,000 ชั่วโมง แต่แค่ 20-30 ชั่วโมงเท่านั้น เป้าหมายคือ สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่ต้องเก่งที่สุดก็ได้

            The ECS Framework

            ECS ย่อมาจาก Energy > Confidence > Skill สามคำนี้เขียนเรียงต่อกัน ห้ามสลับตำแหน่ง พลังเกิดก่อนความมั่นใจ และความมั่นใจต้องมาก่อนทักษะ

            • Energy
            • Confidence
            • Skill

            ถ้าเราเข้าใจ ECS ประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกวิธี คนจะเริ่มมองเราเป็น Doable Greatness ทันที (Doable Greatness จะคล้ายกับ Generalist)

            Energy

            Energy คือ metric ที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วย ถ้ามีพลังงาน เราก็สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ถ้าเมื่อไหร่ energy เป็นศูนย์ ลองนึกภาพดูว่า ตัวเราจะเป็นอย่างไร

            สรุป energy คือปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่นๆได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วย

            Confidence

            ตัวถัดมาคือ Confidence แปลภาษาไทยว่า “ความมั่นใจ” นิยาม Confidence คือเรื่องเดียวกันกับ Mindset

            Mindset คือชุดความคิด ความเชื่อ และสมมติฐาน ที่เราใช้สร้างตัวเราและโลกขึ้นมา เป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราทำได้ ทำไม่ได้ และอะไรที่เป็นไปได้ what’s possible

            ถ้าเราคิดว่าทำได้ เราก็ทำได้ .. ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ .. ทั้งสองความคิดเป็นจริงทั้งคู่ อยู่ที่เราเลือกมี mindset แบบไหน

            Skill

            ตัวสุดท้ายของ ECS คือคำว่า Skill มีพลังงาน มีความมั่นใจ ทักษะจะเกิดขึ้นทันที

            ลองจินตนาการ ว่าเรามี energy ที่จะนั่งเรียนได้ทุกวัน มี confidence เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ พร้อมที่จะ expand our mind เพื่อเก่งขึ้นเรื่อยๆ

            เมื่อเราฝึกฝนทักษะบางอย่างจนเราสามารถทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น เราจะใช้ energy ทำงานนั้นน้อยลงทันที เป็นระดับที่ เรียกว่า Competency (ความสามารถ)

            • Skill คือการที่เราทำงานหนึ่งๆได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ
            • Skill คือการทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น และมีความแม่นยำ ถูกต้อง หรือพูดอีกแบบ ทักษะคือความสามารถในการ errors ให้น้อยลงเรื่อยๆ
            • Skill คือการที่เราสามารถทำอะไรสักอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ (แบบชั่วคราว)

            สิ่งที่เราควรฝึกให้ถึงระดับ competence แบ่งเป็น 3 เรื่องคือ

            1. ฝึก programs หรือ software ที่เราใช้ทำงานทุกวัน เช่น Google Slides, Google Sheets หรือ Note Taking Apps
            2. ฝึก skills ที่สำคัญกับชีวิต (ทักษะที่สำคัญ)
            3. ฝึก skills ที่สำคัญกับงานของเรา หรือที่เราอยากทำในอนาคต

            สรุป

            • Talent ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เกิดมาจากการฝึกฝน และความต่อเนื่อง
            • Talent คือ perception ที่คนอื่นมองมาที่เรา เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน (environment & mind scope)
            • เราไม่จำเป็นต้องไปให้สุด ก็สามารถประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิตได้
            • Doable Greatness คือ moment ที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นมืออาชีพ
            • Energy + Confidence + Skill เข้าใจสามเรื่องนี้ ก็เก่งขึ้นทันที Suddenly Talented
            • ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือ Distraction โดยเฉพาะ social media
            • ปกป้องเวลาของเรา ลดเวลา Dead-Time เปลี่ยนมันเป็น Learning-Time
            • ทักษะการเขียนคือหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของยุคนี้
            • ยิ่งเราเขียนเก่งเท่าไหร่ โอกาสในชีวิตเรายิ่งมากขึ้นเท่านั้น

            “ความสำเร็จ ไม่มีทางลัด อยากได้เราต้องตั้งใจ ฝึกฝน คว้ามันมาด้วยตัวเอง”

             ✅เขียนมาตั้งยาว .. ก็เพื่อจะให้ บรรดาเหล่านักสืบ ได้เห็นว่าในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่บรรดานักสืบจะต้องเป็นคือ Generalist เก่งขึ้นทุกเรื่อง แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่จะต้องเก่งขึ้นทุกวัน และเก่งเกินค่าเฉลี่ย เราจะต้องเก่งก้าวผ่านการเป็นแค่ค่าเฉลี่ย สามารถทำได้หลายทักษะในลักษณะ Skill Stacking แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด

            “เก่งทุกเรื่อง เก่งขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ต้องเก่งเกินค่าเฉลี่ย ทำได้หลายทักษะในลักษณะ Skill Stacking”

            Reference – ขอบคุณข้อมูล และความรู้ดี ๆ จาก..แอดทอย

          6. ติตตามรับข่าวสารกด Subscribe

            Join 100 other subscribers