Author: Agent_N

  • สรุปเนื้อหา ศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า

    สรุปเนื้อหา ศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า

    ผมได้มีโอกาสได้ฟัง คุณเล้ง – ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO, MFEC พูดถึงการฝึกสมดุลด้วยศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า ฟังแล้วได้ mindset ดีมาก ๆ เลยอยากจะสรุป เอามาแชร์ ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกัน

    เราอยู่ภายใต้แรงกดดันของโลกที่ทำให้เราต้องฉลาด ต้องได้เปรียบ ต้องชนะ และต้องเร็วขึ้นตลอดเวลา เราอาจไม่ทันตระหนักว่าในความเป็นจริง ทั้งชีวิตไปจนถึงหน้าที่การงานจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องมีความสมดุล

    อะไรที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ

    😀 มนุษย์เราแต่ละคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าจัดบางอย่างในชีวิตมันไม่สมดุล โดยมันเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จนเสียสมดุล ความสามารถในการเรียนรู้ในการัฒนามันก็จะหยุดอยู่กับที่ พูดง่าย ๆ “ทำอย่างไรให้มันสมดุล” ทุกอย่างมันคือสิ่งเดียวกัน แค่มีสองด้าน การที่เราให้น้ำหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง มันก็จะเสียสมดุล

    เราอยู่ในยุคที่ เราอยากถูกไม่อยากผิด เราอยากชนะไม่อยากแพ้ เราอยากฉลาดไม่อยากโง่ เราอยากได้เปรียบเราไม่อยากเสียเปรียบ เราอยากเร็วไม่อยากช้า

    “การที่ไม่เข้าใจอีกฝั่งหนึ่ง
    มันจะทำให้เราเสียสมดุล”

    คู่ที่ 1

    “ถูก | ผิด”

    ทุกคนอยากทำถูก ไม่อยากทำผิด

    เราต้องมีทัศนคติกับเรื่องที่เราทำผิด หรือ React กับสิ่งที่เราทำผิดแบบถูกต้อง มีมุมมองที่ถูกต้องต่อการทำผิด

    คนเราตั้งแต่เรียนมาก็ถูกสอนให้ทำโจทย์ให้ถูก ทำอะไรให้ถูก แล้วพอจบออกมาเราก็ได้ Pattern ว่าเราต้องเป็นคนถูก ยิ่งเราเรียนเก่ง ยิ่งเราทำงานดี เราก็ถูกไปเรื่อย ๆ ๆ พอมันไปสูดโต่ง อีกฝั่งหนึ่งเราก็ไม่ได้ฝึกเลย ก็คือ การทำผิด ถ้ายึดมั่นว่าตัวเองถูก ก็จะไม่มีภาคต่อเลย

    หากวันหนึ่ง เรามองว่าการผิดไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย การผิดมีอะไรบ้าง การยอมรับผิด การสารภาพผิด เมื่อเราผิดเราจะต้องพัฒนาความรับผิดชอบ Responsibility การที่เราจะยอมรับผิดได้ เราจะต้องพัฒนาความซื่อสัตย์ ถ้าเรารู้ว่าเราผิด เราก็มีการปรับปรุง และแก้ไข แต่ถ้าเราโฟกัสว่าเราถูกอย่างเดียวมันจบเลย…ที่เหลือไม่ต้องพัฒนาเลย เราไม่ต้องพัฒนาความรับผิดขอบ ไม่ต้องพัฒนาความซื้อสัตย์ ไม่ต้องพัฒนาการย่อมรับอะไรต่างๆ อีกเยอะ

    เวลาคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องการทำผิด มันเป็นธรรมชาติคู่กับการทำถูก แล้วไม่ได้พัฒนาในส่วนนี้ มันก็จะเหมือนกับมีความมั่นใจมากเกินไป (Overconfident) แปลว่าคนกลุ่มนี้จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ มีความสามารถในการ เห็นข้อผิดพลาดของคนอื่นได้เร็วได้ไว ขยายข้อผิดพลาดของคนอื่น เพื่อกลบจุดอ่อนข้อผิดพลาดของตนเอง

    เพราะฉะนั้น อันเริ่มต้นสุด ก็คือ เราต้องรู้ว่า เราก็เหมือนกับทุกคน มันต้องมีผิดมีถูก ต้องยอมรับ เมื่อเรายอมรับเราจะพัฒนาอีกซีกหนึ่งได้

    ทำไม่ Design Thinking ถึงได้โด่งดัง (Design Thinking – กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ) เพราะ เค้าสอนให้คน มีทัศนคิตต่อการทำผิด ไม่ซีเรียสในการทำผิด เขา React ตอบสนองกับการทำผิด ยิ่งทำผิดก็ยิ่งเรียนรู้

    การที่ผิดจะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกจะคิดไม่ออก ถ้าไม่เคยฝึกข้อผิดพลาดของเราจะเป็นอดีตเท่านั้น แต่ปัจจุบัน และอนาคต เราไม่เคยผิดเลย

    คู่ที่ 2

    “ฉลาด | โง่”

    ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากโง่

    ก่อนการจะพูดถึงคู่ฉลาดกับโง่ ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากจะโง่ คนรุ่นใหม่เค้าหาตัวเองไม่เจอ สิ่งแรกจะต้องเข้าใจ Concept เหมือนการขูดหินปูน ขูดหินปูนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะตอบว่าขูดทุกหกเดือน เพราะเรามีความรู้ว่า ไม่ว่าเราแปรงฟันดีแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เป็นหมอฟัน ในหกเดือนหินปูนก็ตามมาเกาะ

    คำถามครั้งล่าสุดที่เรากะเทาะอีโก้ เมื่อไหร่ ไม่ว่าเรารู้ตัวอย่างไรก็ตาม ภายในหกเดือน อีโก้ ก็จะมาเกาะ เราก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เริ่มต้นก่อน ต้องทำก่อนก็คือ ทำให้เราเป็นน้ำครึ่งแก้ว

    เหมือนกัน การฉลาด หรือโง่ หากว่าอีโก้มันเต็ม เราต้องทำให้มันเป็นน้ำครึ่งแก้ว เราถึงเริ่มเรียนรู้ เราจะได้เป็นคนฉลาด จะได้เก่ง

    หากถามน้อง ๆ ในทีม น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นไหน น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นโง่ ที่พี่ ๆ ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องนี้

    “จริง ๆ เวลาเราไม่รู้ เวลาเราโง่ เป็นการเยินยออีกฝ่ายหนึ่งขั้นสูงเลยนะ”

    ไม่มีใครหรอกที่ฉลาดแล้วเรียนรู้มีแต่คนที่อยู่ในสภาวะของแก้วว่าง ถึงเรียนรู้

    ความฉลาดกับอีโก้ สิ่งที่มักมาพร้อมกัน เวลาฉลาด ไม่ว่าเราพูด เราแสดงตัว จะมีอีโก้แฝงอยู่เสมอ เราต้องการฉลาดเพื่อโปรโมทตัวเอง เราต้องการฉลาดเพื่อรู้สึกว่าเหนือกว่าคนอื่น เพราะฉะนัันการที่เราแสดงความฉลาด มันจะมี อีโก้ เป็นตัวกำกับ

    คำสอนของพุทธศาสนา จริง ๆ เค้าต้องการปัญญา ปัญญา คือ การตัดอีโก้ ตัดทุกอย่าง แล้วมันจะเห็นจริง เห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วได้เรียนรู้ ปัญญากับ ความฉลาดมันต่างกัน ปัญญาเป็นเหมือน observer เป็น wisdom

    จุดเริ่มต้นไม่อยากผิด อยากฉลาดไม่อยากโง่ ทำอย่างไรให้เรากล้าผิดมากขึ้น ยอมรับในความไม่รู้ของเรามากขึ้น นี้คือจุดเริ่มต้นที่จะเปิดประตูให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้วทำอะไรได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น

    คู่ที่ 3

    “ชนะ | แพ้”
    “ได้เปรียบ | เสียเปรียบ”

    ทุกคนอยากชนะ อยากประสบความสำเร็จ อยากได้เปรียบ ไม่อยากเสียเปรียบ

    หากใครเป็นแฟนหนังกำลังภายในของจีน ก็จะรู้จัก “ต๊กโกวคิ้วป้าย” ฉายาของเค้าก็คือ “โดดเดี่ยวผู้ขวนขวายหาความพ่ายแพ้” ต๊กโกวคิ้วป้าย เค้าเกิดมาหาความพ่ายแพ้ตลอด หาคนเก่งกว่าแล้วก็พ่ายแพ้ จนหาคนเก่งกว่าไม่ได้ ณ วันนั้นเค้าก็เป็นคนเก่งที่สุดในยุทธจักร

    เราอยู่ในสังคมที่ถูกสอนให้ฉลาด โดยเราแพ้ไม่เป็น การแพ้เหมือนกับการทำความผิด เราต้องผิดให้เป็น แพ้ก็เหมือนกัน ถ้าเหมือนไหร่คนฝึก skill อีกฝั่งหนึ่งของการแพ้ เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะถอย เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรจะยอมแพ้

    การที่มีทัศนคติ react กับการพ่ายแพ้ที่ถูกต้อง โดยเรารู้ว่าเราแพ้ มันจะไม่ใช่ว่าเราแพ้แล้วเราโกรธ แพ้แล้วไปเกลียดอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเราฝึกในการแพ้ แปลว่าทุกครั้งที่แพ้ เราจะสามารถพัฒนาในเรื่องรับคำวิจารณ์ของคนอื่นได้ รับ Feedback ของคนอื่นได้ ถ้าเราต้องการชนะอย่างเดียว พอเสร็จเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการแพ้ในครั้งนั้นเลย

    ธรรมชาติของการเรียนรู้ของเรา เราไม่มีทางที่จะเรียนรู้ ในสภาวะที่เราเป็น Negative เช่น เราเกลียดคนนี้ เราก็จะไม่ได้เรียนรู้จากเค้า เราไม่ชอบ เราไปด่าว่าเค้า ในสภาวะนั้น หรือเราโกรธ เราจะไม่ได้เรียนรู้เลย เราจะเรียนรู้ต่อเมื่อเราชื่นชมเค้า เรามีสภาพจิตใจที่เป็น Positive

    เพราะฉะนั้นการแพ้กับการเรียนรู้เป็นของคู่กัน จริง ๆ การแพ้ การชนะไม่ได้เป็นทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ ว่ามันเกิดจากแพ้ ๆ ๆ แล้ว ก็ชนะ

    ทุกครั้งที่คนที่แพ้เป็น คนที่ยอมแพ้ได้ จะมีการเรียนรู้ แล้วจะมีการขยับขึ้นไปอีกขั้น

    เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่คนเก่งเยอะ ๆ ไปเป็นคนโง่ในที่นั้น ถ้าคนใฝ่หาความชนะอย่างเดียว เค้าจะหาคนอ่อนกว่าเรื่อย ๆ ขณะที่คนที่หาการพ่ายแพ้ เค้าจะหาคนที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ

    เมื่อไหร่เราให้คุณค่ากับความพ่ายแพ้ เริ่มเรียนรู้กับความพ่ายแพ้ เราก็จะได้เป็นโอกาสในการเรียนรู้อีกอันหนึ่ง ผิดพลาดแล้วเราเรียนรู้อะไร?

    ในมุมองของหัวหน้าเมื่อเห็นลูกน้องพ่ายแพ้ ถ้าเราเห็นว่าศักยภาพของน้อง ๆ มีทางพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เค้าควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าแพ้เพราะอะไร และ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าชนะเพราะอะไร อันนี้ โอเค ต้องรู้ว่าแพ้หรือชนะเพราะอะไร

    สิ่งที่น่ากลัวสุด คือการทำในสิ่งที่เป็น pattern โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

    คู่ที่ 4

    “เร็ว | ช้า”

    ทัศนคติในเรื่องของเร็วกับช้า VUCA World

    “VUCA World” เป็นคำย่อของ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity) ในยุคปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก

    บางอย่างควรที่จะเร็ว แต่บางอย่างควรที่จะช้า แปลว่าบางอย่างเร็วจะไม่ก่อผล หลาย ๆ อย่างจำเป็นต้องใช้ความช้า

    หนังสือ Thinking fast Thinking slow อะไรที่ต้องการเรียนรู้ อะไรที่วิเคราะห์ ต้องช้าอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะ Multitasking ทำหลายอย่าง ทำอย่างหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง ทำตอนที่สปีดเร็ว ๆ บางอย่างเราต้องตั้งใจให้มันช้า เพื่อที่จะได้เรียนรู้

    เราช้าลงเพื่อที่เราจะได้คิดได้ดีขึ้น เรียนรู้ได้มากขึ้น เพื่อที่อีกหน่อยเราจะได้เอามาเป็น Aoto Mode ของเรา แล้วเราก็จะได้เร็วขึ้นได้ในอนาคต

    เคล็ดลับในการหาคนมาทำงาน

    เลือกคนผิด ผิดไปแล้ว 70% อย่าคิดว่าการเลือกคนผิดแล้วใช้การ training ใช้อะไรต่าง ๆ แล้วมันจะช่วยได้ เราจะต้องเลือกคนที่ cultured เหมาะกับเรา เมล็ดพันธ์ุประเภทไหนที่อยู่กับเราแล้ว เค้าได้เติบโตดีสุด เราไม่สามารถที่จะเลี้ยง หรือเพาะพันธ์ หรือพัฒนาคนเก่ง ได้คนทุกประเภท

    คุณสมบัติข้อที่ 1 คนกลุ่มแรกที่อยากได้ คือ คนที่เจอความลำบากในชีวิต มีโอกาสน้อย ผ่านความลำบาก คนประเภทนี้ ถ้าเราให้โอกาส และเราสอน ก็จะถูกจริตกับเรามาก คนประเภทนี้ เค้าอดทน โอกาสเค้าน้อย เค้าไม่ได้สมหวัง เค้าถูกฝึกตนเอง ของสมดุลอีกข้างหนึ่งมาแล้ว ที่เป็นการฝึกโดยธรรมชาติ

    คุณสมบัติข้อที่ 2 คือ หาคนที่มีคุณสมบัติของความกตัญญู คนกตัญญู จะเป็นคนที่สามารถควบคุมอีโก้ตัวเองได้ คนอกตัญญูมักจะถูกอีโก้ครอบงำแล้วเหนือกว่า

    การหาคนกตัญญู จะใช้คุณสมบัติของ mathematics ถ้า A = B , B = C , C = D แล้ว A จะเค้ากับ D โดยอัตโนม้ติ

    “คนกตัญญู คนใจกว้าง คนมีสปิริส จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน .. คนใจแคบ คนอกตัญญู คนเห็นแก่ตัว จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”

    คำถามคือ คนเห็นแก่ตัว คนใจแคบ คนอกัตญญู เป็นคนเลวไม่ .. ตอบ เค้าไม่ใช่เป็นคนเลวนะครับ เพียงแต่เค้ามีความสามารถในการ control ควบคุมอีโก้ของตัวเองต่ำ เวลาอีโก้ มานำก็จะนึกถึงตัวเองเป็นหลัก

    คุณสมบัติข้อที่ 3 ความลับของฟ้า เป็นผลมาจากการทำ research คนที่เก่งที่สุด กับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เป็นคนละเซ็ตกัน คนที่เรียนเยอะสุด เรียนสูงสุด กับคนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนละเซ็ตกัน แต่ข้อมูลกลับโชว์ว่า กลุ่มคนที่กลัวเมียที่สุด กับกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นกลุ่มคนเซ็ตเดียวกัน…5555

    • mindset ของคนมีอยู่ 2 แบบ
      • เป็นคนฉลาด เก่ง mindset คือ มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลากับทุกเรื่อง เป็น mindset เปรียบเทียบหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว
      • เป็น mindset เหมือนเล่นเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ เราตัดสินใจแล้ว เราจะเลือกตรงนี้ เราจะทำตรงนี้ สิ่งที่คิดคือเอาจิ๊กซอว์ที่มีหรือสิ่งที่ตัดสินใจประกอบเป็นภาพที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เป็น mindset ของคนที่อยากได้อะไร ก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ปักหลักกับสิ่งที่ตัวเองสร้าง

    เราดูแลคนพวกนี้อย่างไร ไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ

    จุดอ่อนของการบริหาร คือ การเป็นคนใจดี ในการบริหารเราจะต้องสร้างสมดุลระหว่าง ใจดี กับ ความเหี้ยม มันต้องมีผสมประสานกัน เวลาเราใจดี เราจะไม่ยุติธรรม เราจะถัว

    เวลาเราใจดี เราจะพัฒนาด้านหนึ่ง โดยเราไม่ได้พัฒนาอีกด้านหนึ่ง เราไม่มีความสามารถเผชิญหน้าแบบบวก

    ความกตัญญู

    หาคนเก่ง หาคนฉลาด คนเก่งทำงาน ไม่ยาก เท่ากับหาคนที่มีสายตาแหลมคมในการดูคน ต้องรู้ว่าคนไหนเค้าทำดีต่อเรา ส่วนใหญ่หัวหน้ามักจะมองไม่ออก เพราะเกิดจาการถัว เพราะฉะนัันการเห็นที่เท่าทัน มันเป็น skill ของหัวหน้าอย่างหนึ่ง

    ทำอย่างไรให้ลูกน้องกตัญญู จริงๆ ตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้ กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ ความรู้สึกของผู้ให้ เมื่อไหร่อ้าปากก็จะเป็นการทวงบุญคุณ คนที่เค้ากตัญญู เค้าจะรู้เอง ว่าเค้าเคยได้รับบุญคุณ เคยเรียนรู้ จากใคร จากที่ไหน มันคือประเภทของคน ศิลปะของการเสียเปรียบ เราอาจจะยอมเสียเปรียบก่อน ลงทุนสร้าง แล้วถ้าเราได้คนถูกประเภท เดี๋ยวเค้าจะกลับคืนมาให้เรา มากกว่าที่เราให้

    “กตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้
    กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ”

    พยายามมองทุกคนเป็น professional มองคนด้วยความเป็นมืออาชีพ อย่าเอาเปรียบลูกน้อง เนื่องด้วยเค้าเด็ก เอาเปรียบเนื่องด้วยเค้าไม่เท่าทันเรา เพราะว่าเมื่อไหร่วันหนึ่ง แล้วเค้าฉลาดขึ้นมา เค้าคิดทันขึ้นมาความเชื่อใจจะไม่เหลือ

    เป็นเรื่องของ give and take เราต้องให้ก่อน ให้เพราะเราอยากจะให้ ไม่ได้หวังผล

    อ่านแล้วหากเป็นประโยชน์ก็ลองไปปรับใช้งานดูนะครับ …ติดตามกับ Blog ต่อไปกันได้นะครับ

  • Protected: การยืนยันตัวตนของมือถือ และ CDR

    Protected: การยืนยันตัวตนของมือถือ และ CDR

    Subscribe to continue reading

    Subscribe to get access to the rest of this post and other subscriber-only content.

  • เทคนิคการสร้าง Second Brain

    เทคนิคการสร้าง Second Brain

    เพราะสมองเราไม่ได้มีไว้จำ แต่มีไว้สำหรับสร้างสรรค์ความคิด สร้างไอเดียใหม่ ๆ

    หนังสือ Building A Second Brain ของ Tiago Forte เป็นหนังสือที่เรียบง่าย แต่เมื่ออ่านจบพบว่ามันทรงพลังมาก และปัจจุบัน ก็มีเล่มแปลให้สามารถหาอ่านได้แล้ว

    What is Second Brain

    สมองของคนเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์ไอเดีย ความคิดใหม่ ๆ แต่มันไม่สามารถจำทุกอย่างในชีวิตเราได้หมด เราเลยจะต้องหาวิธีการในการเอาสิ่งที่สมองเราไม่สามารถจดจำได้หมดไปเก็บไว้ใน

    Humans are now knowledge workers

    เพราะปัจจุบันมนุษย์คือ Knowledge workers

    ในแต่ละวัน เราใช้เวลาไปสำหรับในการค้นหาข้อมูลเพื่อเอาข้อมูลมาทำงาน เราใช้เวลาอยู่กับข้อมูลตลอดเวลา ค้นหาข้อมูล, ดู Youtube, อ่านหนังสือ, อ่านบทความ, อ่านโพสต์, ฟัง Podcast และอีกมากมาย

    คำถามคือ เอาเจอข้อมูลที่เอาไปใช้ประโยชน์ หรือเอาไปใช้งานได้จริงเท่าไหร่

    จริง ๆ แล้ว เรื่อง Second Brain ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตเราต่างก็เคย มี Second Brain กันเกือบจะทุกคน โดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ แต่ Second Brain ของพวกเขาจะเป็น Commonplace book เป็นสมุดจดโน้ตที่ผู้คนใช้เขียนไอเดีย ความคิด ข้อเสียของ Commonplace book คือ เปียกขาดชำรุด สูญหายได้ง่าย และเมื่อเขียนจนหมดเล่มแล้ว ก้ไม่ค่อยจะมีใครหยิบมาเปิดอ่าน

    Tiago Forte: มองว่า ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของอินเทอร์เน็ต Second Brain เราควรย้ายมาอยู่บน Digital Commonplace book ซึ่งมันสามารถนำเอาไอเดีย ความคิด ความรู้ต่าง ๆ มาใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และเราเองก็ใช้มันอยู่แล้วโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เช่น Google Calendar app หรือ Reminder app

    The power of writing thing down

    ยิ่งเราเขียนจดโน้ตลง second brain มากขึ้นเท่าไหร่ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของโน้ตต่าง ๆ ได้มากเท่าไหร่ value ของมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

    Second Brain Superpower

    1. ทำให้ไอเดียจับต้องได้มากขึ้น เป็นรูปธรรม — การเขียนความคิดทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวเป็นรูปธรรมมากขึ้น ช่วยให้คิดอย่างชัดเจน และใช้ความคิดคิดเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
    2. เชื่อมโยงความคิด ไอเดีย ระหว่างกันได้ — ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน จนทำให้ค้นพบไอเดียใหม่ ๆ
    3. เป็นพื้นที่ในการบ่มเพาะความรู้ —ความคิดของเราเมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน (เหมือนไวน์ยิ่งบ่มไว้นานยิ่งอร่อย)
    4. ทำให้มีมองมองคมชัดมากขึ้น — Second Brain ช่วยให้เราได้ใช้เวลากับการคิด ลงมือทำ มากกว่านึก หรือจำ และหลาย ๆ ครั้งที่เรากำลังต้องการไอเดียแต่นึกไม่ออก ไม่ได้เป็นเพราะเราไม่เก่ง ไม่สร้างสรรค์ เราอาจจะยังไม่มีวัตถุดิบ(ข้อมูล ความรู้) เพียงพอ

    จริง ๆ second brain ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในทางวิชาการเรียก concept นี้ว่า personal knowledge management (PKM)

    Remembering >> Connecting >> Creating

    The CODE Method

    Tiago เสนอ CODE method สำหรับสร้าง digital second brain เป็น 4 ขั้นตอนง่าย ๆ สรุปออกมาได้ดังนี้

    • Capture – เก็บข้อมูลใหม่ที่มีประโยชน์กับชีวิตเรา
    • Organize – จัดเรียงข้อมูลตาม actionability เพื่อนำไปใช้งาน (PARA method)
    • Distill – จดโน้ตสรุป สกัดไอเดียสำคัญ สรุปใจความสำคัญออกมา
    • Express – แบ่งปัน แชร์สิ่งที่เราเรียนรู้มาให้กับผู้อื่น เพราะข้อมูลจะกลางเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อเอามันไปใช้
    Source: Thiago Forte

    จาก Capture → Express คือการเดินทางที่เปลี่ยนตัวเองจาก consumer of information เป็น creator อย่างแท้จริง

    เราสร้าง Second Brain ไว้ให้ใคร? ตัวเอาเองในอนาคต ตัวเราเองในอนาคตจะเป็นใครใช้ประโยชน์จาก Second Brain ที่เราสร้างไว้

    1. Capture

    ไม่ใช่ทุกข้อมูลที่มีจะมีประโยชน์เท่ากันหมด หน้าที่ของเราคือ capture เฉพาะส่วนที่มีประโยชน์กับเรา โดยเราจะต้องตอบคำถามเหล่านี้

    • Does it inspire me? มันสร้างแรงบันดาลใจให้เรารึป่าว?
    • Is it useful? มันมีประโยชน์กับเราไหม?
    • Is it personal? เป็นสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังนึกรึป่าว? ตอบโจทย์เราไม่
    • Is it surprising? รู้สึกตื่นเต้น เซอร์ไพรส์ไหม?

    2. Organize

    Thiago ได้คิดค้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลเป็น 4 หมวดหมู่ง่าย ๆ ชื่อว่า PARA method โดยเน้นที่การทำไปใช้ในชีวิตเราเป็นหลัก

    1. Project (โปรเจกต์): งานระยะสั้นทั้งเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัวที่ทำด้วยเป้าหมายบางอย่าง
    2. Area (หน้าที่): ความรับผิดชอบระยะยาวที่ต้องคอยเอาในใส่อย่างต่อเนื่อง
    3. Resource (ทรัพยากร): หัวข้อหรือความสนใจที่อาจมีประโยชน์ในอนาคต
    4. Archive (คลังเก็บ): ข้อมูลใน 3 หมวดข้างต้นที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

    3. Distill

    To attain knowledge, add things every day. To attain wisdom, remove things every day.

    — Lao Tzu, ancient Chinese philosopher

    “เพื่อครอบครองความรู้ เพิ่มสิ่งนั้นทุก ๆ วัน เพื่อครอบครองปัญญา ตัดสิ่งที่มีอยู่ออกทุก ๆ วัน”

    การที่เราอ่านหนังสือหรือบทความสิ่งที่จะช่วยให้เราจำได้ก็คือ “การกลั่นข้อมูลออกมาให้เป็นภาษาของเราเอง” หาแก่นความรู้ ย่อยไอเดียให้กลายเป็นภาษาของเราเอง

    Distill คือ การกลั่นสิ่งที่เราพบเจอ ออกมาเป็นคำพูดของตัวเอง ความรู้ต้องผ่านการย่อย ปรับแต่งเพื่อเปลี่ยนเป็น asset ที่มีคุณค่า

    วิธีการ Distill ก็คือการทำ “Progressive Summarization”

    • Layer 0: แหล่งที่มาของข้อมูลจากต้นฉบับ เช่น website หนังสือ บทความ
    • Layer 1: เนื้อหาส่วนสำคัญที่นำมาใส่โปรแกรมการจดบันทึกของเรา
    • Layer 2: ใส่ ตัวหนา กับเนื้อหาที่เราคิดว่าสำคัญ (เวลาที่กลับมาอ่านโน้ต)
    • Layer 3: คัดใจความสำคัญจาก ตัวหนา และใส่ Highlight
    • Layer 4: สรุปเป็นข้อ ๆด้วยคำพูดของเราเอง และเอาไว้บนสุดของโน้ต
    วัวกระทิง ของ Pablo Picasso

    4. Express

    คีย์หลักในการ express ก็คือ จดจำปะติดปะต่อเรื่องราว เขียนออกมาในภาษาของเรา สร้างระบบจัดการความรู้ที่ใช้งานง่าย ลดความซ้ำซ้อน

    Express คือ การที่เราไม่รอจนให้ทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่แชร์สิ่งที่คุณรู้ให้ผู้อื่น แชร์ออกไปบ่อยขึ้น แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ เพื่อได้รับ feedbacks หรือมุมมองอื่น ๆมาพัฒนาความคิดเราต่อไป

    Intermediate Packets

    โน้ตที่เราจะเอาไปจด blog มันไม่ควรจะยาวมาก มันควรจะสั้น ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว

    Thinking Small จะมาจากหลายๆ ศาสตร์ การจะลงมือทำงานชิ้นใหญ่ ๆ มันเกิดมาจากที่เราเอาส่วนเล็กๆ มาประกอบร่างกัน และการจดโน้ตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์เฟอร์เฟ็ก

    ทุกอาชีพมักจะมี “กระบวนการ” ก่อนที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมา เห็นได้ว่ามี “Prototype” เวลาสร้าง Product, “Demo” เพลงของศิลปิน

    สรุปการฝึก Express บ่อย ๆ ในรูปของ Intermediate Packets ช่วยเพิ่ม Productivity โดยรวมของเราในตอนนี้ และอนาคตได้ด้วย เหมือนกับการสร้างตึกที่เรามี ฐานที่แข็งแรง เป็นการค่อย ๆสะสม Knowledge Assets ที่พร้อมใช้งานทุกเมื่อนั่นเอง

    Thiago Forte ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ทำให้เห็นว่าการทำ Personal Knowledge Management หรือการจัดทำระบบจัดการความรู้ของตัวเรา มันเจ๋งมาก ทั้งช่วยให้เราจำข้อมูลสำคัญได้ เชื่อมต่อความคิดจนเกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ และการสร้างผลงานสู่โลกภายนอก

    เราจะสร้าง Second Brain ของตัวเองอย่างไร?

    Second Brain คือระบบหรือ system ไม่ใช่แค่ software ตัวใดตัวหนึ่ง แต่เกิดจากการใช้หลายๆเครื่องมือร่วมกัน หลัก ๆ จะมี 4 apps

    • Calendar
    • To-Do
    • Note
    • Read-Later App

    หลายคนเข้าใจผิดว่าใช้แค่ notetaking app อย่าง Notion แค่แอปเดียวก็สร้าง second brain ได้แล้วไม่ใช่นะครับ ในการสร้าง Second Brain เราจำเป็นจะต้องประยุกต์แอปหลาย ๆ

    เตรียมพบกับ เทคนิค และวิธีการใช้งาน Notion...

  • คุณสมบัตินักสืบในยุคดิจิทัล Style Data Analyst Baan Baan..

    คุณสมบัตินักสืบในยุคดิจิทัล Style Data Analyst Baan Baan..

    WK Data Analyst !… เป็นเว็บบล็อกของกลุ่มนักสืบสไตล์บ้าน ๆ  🕵️… ที่ต้องการจะรวบรวมความรู้เกี่ยวกับด้านการสืบสวน เพื่อทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ข้อมูล มีเจตนารมณ์สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางของการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ในยุคการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดในยุคนี้คือการปรับตัวที่ช้าเกินไป

    นักสืบในยุคปัจจุบันจะต้องมีความรู้ความสามารถในหลายด้าน เก่งทุกด้าน โดยไม่ต้องเก่งสุด แต่จะต้องเก่งขึ้นทุกวัน และที่สำคัญ จะต้องเก่งเกินค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปในด้านนั้น ๆ ด้วยถึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หลายคนน่าจะมีความสงสัย หรือมีคำถามในใจว่า “เอ้ย ทำไม่ต้องเรียนรู้เยอะ…”
    😗 ยิ่งเราเรียนเยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรามีความรู้มากขึ้น และ ยิ่งเรามีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราทำอะไรได้มากขึ้น ทำให้งานที่เราทำประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

    📌เราเชื่อว่า ชีวิต คือเมล็ดพันธุ์ที่รอการเติบใหญ่ “Eudaimonia” (ยู โด โม เนีย) คือความดีงามที่อยู่ในตัวเราตั้งแต่เกิด

    หน้าที่ของพวกเราคือการใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้เข้าใกล้กับ “The Best Version of Ourself” ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นถามตัวเองทุกเช้าว่า “คิดว่าเราวันนี้เป็นตัวเองเวอร์ชันที่ดีที่สุดหรือยัง?”

    ถ้าตอบว่า “ยัง” ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า คำตอบต้องเป็น “ยัง” เสมอ

    เราต้องถามต่อว่า ” แล้วเราจะรออะไรอยู่ ? “

    ทำไมวันนี้ ไม่พยายามเป็นตัวเองเวอร์ชันที่ดีที่สุดเลย

    “ความรู้ไม่มีคำว่าฟรี
    คุณจะต้องจ่ายมันด้วยเวลาที่คุณมี !!”


    เกริ่นนำกันมาเยอะ เพื่อปรับ mindset ของบรรดาจอมยุทธ์นักสืบ ในยุคการเปลี่ยนแปลง มาดูกันว่าในยุคการเปลี่ยนแปลงนี้ บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีความรู้เรื่องอะไรกันบ้าง 👀

    Skill ที่บรรดาจอมยุทธ์นักสืบ จะต้องมี

    1. Domain Knowledge ขอบเขตงานสืบสวน
    2. Data หรือข้อมูล (ข้อเท็จจริง) สำหรับงานสืบสวน
    3. Software สำหรับงานสืบสวน
    4. Code / Prompt การโค๊ดและเขียนคำสั่ง สำหรับงานสืบสวน
    5. Statistics เรื่องสถิติ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องสถิติ
    6. Design for Analysis การออกแบบเพื่อการวิเคราะห์สำหรับงานสืบสวน
    7. Storytelling with Data การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล
    8. English Language ภาษาอังกฤษ ในยุคปัจุบัน สำคัญมาก ๆ
    9. Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์ หรือการคิดเป็นมีวิจารณญาณ

    Domain Knowledge

    ขอบเขตงานสืบสวน

    ⏩สำหรับเรื่องขอบเขตงานสืบสวน เป็นเรื่องที่กว้างมาก ที่บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีองค์ความรู้ในด้านการสืบสวนครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน (เดินดินได้ เดินอากาศได้ ทำข้อมูลบนโต๊ะได้) ไม่ว่าจะเป็น

    • ความรู้ด้านกฎหมาย โดยเฉพาะ กม.อาญา , วิ.อาญา พ.ร.บ.ที่มีโทษทางอาญา รวมถึงฎีกาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันเหล่าจอมยุทธ์ ในยุทธจักร ศึกษา หรือทบทวน กฎหมายน้อย มาก และที่สำคัญบรรดาเหล่านักสืบ จะต้อง มีความรู้ในเรื่องการ แสวงหาพยานหลักฐาน และ การรวบรวมพยานหลักฐาน นั้นหมายความว่า บรรดาเหล่านักสืบจะต้องมีความรู้ในด้านการสืบสวน และ ด้านการสอบสวน
    • ด้านการสอบสวน เช่น
      • ต้องมีความรู้กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐาน ว่าอะไรทำได้ และ อะไรทำไม่ได้ หากทำได้จะต้องใช้อำนาจอะไร ในการรวบรวมพยานหลักฐาน
      • มีความรู้ในเรื่องกฎหมายลักษณะพยาน ในลักษณะรู้จริง
      • มีความรู้ในเรื่องการร้อยเรียงเชื่อมโยงพยานหลักฐาน
      • ฯลฯ
    • ด้านการสืบสวน เช่น
      • ต้องมีความรู้เรื่องหลักการสืบสวน ว่าการสืบสวนก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลักเกิดเหตุเป็นอย่างไร
      • ต้องมีความรู้เรื่องเทคนิคการสืบสวน เช่น การซักถามปากคำ การสะกดรอย การเฝ้าจุด การสืบสวนกล้องวงจรปิด การสืบสวนเรื่องโทรศัพท์ การสืบสวนเรื่องการเงิน การสืบสวนทางเทคโนโลยี ฯลฯ
      • ต้องมีความรู้เกียวกับโลกเทคโนโลยี ข้อเท็จจริงทางเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างมากมาย
      • ฯลฯ
    • ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

    Data หรือข้อมูล

    ข้อมูล (ข้อเท็จจริง)

    📊ในยุคการเปลี่ยนแปลง เรื่องข้อมูล (data) หรือมันก็คือข้อเท็จจริง ที่เหล่าบรรดานักสืบ จะต้องทำการสืบสวน แสวงหาและรวบรวม เพื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อทราบข้อเท็จจริง หรือพิสูจน์ความผิด ความบริสุทธิ์ และเพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษ บรรดาเหล่านักสืบ จะต้องเข้าใจและมีความรู้เรื่อง Data (ข้อมูล)

    ดังนั้นบรรดาเหล่านักสืบ จะต้องทราบว่า ข้อมูลที่เกิดขึ้นอยู่ในโลกใบนี้ มีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท อะไรบ้าง ?

    • แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
      • ข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ (Demographic Data) เช่น อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด อาชีพ รายได้ สถานภาพการสมรส จำนวนบุตร ฯลฯ
      • ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Behavioural Data) เช่น พฤติกรรมการใช้งานต่าง ๆ จากบุคคล หรือสิ่งของ
      • ข้อมูลเชิงเครือข่าย (Network Data) เช่น ข้อมูลที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคล หรือสิ่งของ , การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ หา influencer หา community
    • แบ่งตามรูปแบบของข้อมูล
      • ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured Data) เช่น ข้อมูลที่เก็บอยู่ในรูปแบบตาราง
      • ข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อมูลที่เป็นข้อความ รูปภาพ
      • ข้อมูลแบบกึงมีโครงสร้าง (Semi-structured Data) เช่น ข้อมูล XML หรือ JSON
    • แบ่งตามแหล่งที่อยู่ของข้อมูล
      • ข้อมูลภายในองค์กร (Internal Data Sources)
      • ข้อมูลภายนอกองค์กร (External Data Soruces)

    ข้อมูลทั้งสามรูปแบบ เราจะพบได้ในงานการสืบสวน ทั้งที่เป็นข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ข้อมูลภายใน และ ภายนอกองค์กร ที่เป็นทั้งแบบมีโครงสร้าง เช่น การใช้งานโทรศัพท์ ข้อมูลบัญชีธนาคาร ฯลฯ และแบบไม่มีโครงสร้าง เช่น กล้องวงจรปิด การซักถามปากคำ ฯลฯ ดังนั้นนักสืบที่เก่ง และประสบความสำเร็จ จะต้องสามารถเข้าใจ ข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริง ทางการสืบสวน ว่ามีอะไรบ้าง ข้อมูลแต่ละรูปแบบ เป็นอย่างไร สามารถแสวงหาข้อมูลได้ ครบทุกข้อเท็จจริง

    Code / Prompt

    การเขียนโค๊ด หรือ การเขียน Prompt ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานสืบสวน ได้

    ✅ Prompt Engineerting เป็นทักษะที่เราจะออกแบบตัว Input ที่จะส่งเข้าไปใน AI เพื่อให้ได้ Output อย่างเหมาะสม

    เป็นทักษะที่เราคิดค้น Prompt ปรับปรุง Prompt เพื่อส่งเข้าไปในแบบจำลอง แล้วให้แบบจำลองมันทำงานออกมา ตามที่เราต้องการ หรือเอาไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

    Elements of a prompt หรือ “องค์ประกอบของคำสั่งพร้อมต์” ในการทำงานกับระบบ AI ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจวิธีการสร้างคำถามหรือคำสั่งที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น นี่คือองค์ประกอบหลักๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อออกแบบพร้อมต์

    หลักการเขียน Prompt อย่างถูกต้อง

    1. Clarity (ความชัดเจน): เขียนให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการตอบที่ผิดหรือไม่สมบูรณ์
    2. Context (บริบท): ให้ข้อมูลหรือบริบทเพียงพอ เพื่อให้ AI เข้าใจหัวข้อและรายละเอียดที่ต้องการ
    3. Conciseness/Brevity (ความกระชับ): เขียนให้กระชับ แต่ครอบคลุมรายละเอียดที่จำเป็น
    4. Structure (โครงสร้าง): ใช้ภาษาที่มีโครงสร้างชัดเจนและรูปแบบที่เข้าใจง่าย
    5. Examples (ตัวอย่าง): หากเป็นไปได้ ให้ตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการอะไร

    Components of Effective Prompts:

    • Role (บทบาท)
    • Instruction (คำสั่ง)
    • Context (บริบท)
    • Examples (ตัวอย่าง)

    Prompt Engineering เป็นทักษะที่สำคัญในการใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ LLMs เช่น ChatGPT การเรียนรู้วิธีการเขียน prompt ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ

    Software

    โปรแกรม หรือ Software ที่ใช้งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานสืบสวน

    ✅ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีรวดเร็วมาก และเป็นยุคที่การเจริญเติบโตทางเทคโนโลยี เติบโตเร็วมาก การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มีการนำเอา software มาใช้งานในการอำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต ดังนั้นบรรดาเหล่านักสืบ จะปฏิบัติว่าเราไม่มีความรู้เรื่อง software ไม่ได้ หรือใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ไม่เป็น เพราะปัจจุบัน software มันกลายเป็นส่วนหนึงของชีวิต

    หากใครลองสังเกตดูจะเห็นว่า ปัจจุบันนักสืบ ที่เจริญเติบโต และ ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกใช้งานบ่อย ๆ ก็จะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความชำนาญในการใช้งาน Software

    🚩ในงานด้านการสืบสวน จะมี Software ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในงานการสืบสวนน้อยมาก ส่วนมากบรรดาเหล่านักสืบ จะประยุกต์ใช้งาน Software ในด้านต่าง ๆ กับงานสืบสวน เช่น

    • software หรือ application ที่ใช้สำหรับในการเดินเบส หาเสา ก็จะประยุกต์ใช้ App ที่เป็นลักษณะพวก Call Signal , Call Tower Locator
    • software หรือ application ที่ใช้สำหรับในการไล่กล้องวงจรปิด ก็จะประยุกต์ใช้ software หรือ app ที่เป็นลักษณะแผนที่ การบวกลบเวลา เช่น Google maps , TimeCale ฯลฯ
    • software ที่ใช้สำหรับในการเก็บข้อมูล จัดการข้อมูล หรือวิเคราะห์ข้อมูล ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะ Spreadsheets (Google Sheets / Excel)
    • software ที่ใช้สำหรับในการวิเคราะห์ข้อมูล ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล เช่น ANB (i2) , PowerBI ฯลฯ
    • software ที่ใช้สำหรับในการทำรายงานการสืบสวน หรือทำเอกสารการนำเสนอ ก็จะประยุกต์ใช้งาน software หรือ app ที่เป็นลักษณะของการจัดการเอกสารประเภท document เช่น word , powerpoint ฯลฯ
    • software อื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับงานสืบสวน

    ดังนั้นในยุคปัจจุบัน เหล่าบรรดานักสืบ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ จำเป็นจะต้องรู้ หรือเรียนรู้ พวก software ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานสืบสวนได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าจะต้องใช้งานได้เป็นอย่างดีด้วย

    Design for Analysis

    การออกแบบสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล

    การวิเคราะห์ข้อมูล ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสืบสวน เพราะหลังจากที่เราแสวงหาข้อเท็จจริง และ รวบรวมข้อเท็จจริง หรือข้อมูลมาได้แล้ว จะต้องนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการเตรียมข้อมูล (Preparation Data) แล้วถึงนำข้อมูลที่ได้ไปทำการวิเคราะห์หา Insight Data เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ

    • การเตรียมข้อมูลมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน
      • ทำการคัดเลือกข้อมูล (Data Selection) กำหนดเป้าหมายก่อนว่าเราจะวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องอะไร และเลือกใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะวิเคราะห์
      • ทำการกลั่นกรองข้อมูล (Data Cleaning) เช่น ลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อนออก หรือ แก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด เช่น ข้อมูลผิดรูปแบบ , ข้อมูลที่ขาดหายไป , ข้อมูลที่เป็น Outlier ที่แปลกแยกจากคนอื่น
      • ทำการแปลงรูปแบบของข้อมูล (Data Transformation) เป็นขั้นตอนการเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมนำไปใช้ในการวิเคราะห์

    “วัตถุประสงค์หนึ่งของการทำ Data Analytics คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ”

    การวิเคราะห์ข้อมูล จะแบ่งเป็น 5 ส่วนคือ

    1. Data คือ ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์
    2. Analytics คือ การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ
    3. Human Input คือ สัดส่วนของการที่คนเข้าไปมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูล
    4. Decision or Insight คือ การตัดสินใจ และ สิ่งที่สำคัญที่ค้นพบจากการวิเคราะห์ (insight)
    5. Action คือ การนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ในการทำงาน
    • Gartner ได้แบ่งระดับของการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ 4 ระดับ ได้แก่
      • Descriptive คือ การวิเคราะห์เชิงเชิงพรรณา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น (What happened?) ส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณาตัวแปรเดียว และ คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจค่อนข้างสูงมาก
      • Diagnostics คือ การวิเคราะห์เชิงวินิจฉัย เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เพื่อหาสาเหตุว่าทำไม่ถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น (What did it happen?) เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกมากกว่าระดับแรก ส่วนใหญ่จะพิจารณาหลายตัวแปรพร้อมกัน และ คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจยังมากอยู่
      • Predictive คือ การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ เป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีต เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือใช้ตอบคำถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป (What will happen?) คนมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจน้อยลง เนื่องจากระบบได้ทำการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาให้
      • Prescriptive คือ การวิเคราะห์เชิงแนะนำ เป็นการวิเคราะห์โดยการใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมแนะนำแนวทางที่เหมาะสมให้ คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเลย เนื่องจากระบบได้ทำการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาให้ และแนะนำแนวทางที่เหมาะสมให้ด้วย

    สำหรับงานสืบสวนแล้ว บรรดาเหล่านักสืบ จะใช้ระดับการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ 2 ระดับคือ Descriptive กับ Diagnostics ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ ข้อมูลในอดีต เพื่อจะต้องการทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไม่ถึงเกิดขึ้น

    • เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลที่นักสืบใช้งานบ่อย
      • Classification คือ การจำแนกข้อมูล แบ่งเป็นกลุ่ม เป็นคลาส คำตอบจะเป็น class ว่าเป็น class a หรือ class b หรือคำตอบจะเป็น ใช่ หรือ ไม่ใช่ เป็นต้น
      • Clustering Analysis คือ การวิเคราะห์การจัดกลุ่มข้อมูล ตามความคล้ายคลึงกัน ว่ามีอยู่กี่กลุ่ม
      • Association Analysis คือ การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกิดร่วมกัน
      • Time Series Analysis คือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับกรอบของเวลา โดยจะประยุกต์กับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
      • Geospatial Analytics คือ การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ โดยใช้ลักษณะทางภูมิศาสตร์
      • Network Analysis คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่าย จะประกอบไปด้วยโหนด (Node) และเส้นเชื่อม (Edge)
        • Degree Centrality เป็นการวัดค่าของแต่ละโหนด ถ้าโหนดใดมีเส้นเชื่อมต่ออยู่เยอะถึอว่าเป็นโหนดที่สำคัญ เพราะสามารถส่งข้อมูลกระจายออกไปยังโหนดอื่นได้มาก
        • Betweenness Centrality เป็นการวัดค่าว่าโหนดแต่ละโหนดเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงไปยังโหนดอื่นมากน้อยแค่ไหน จะมองว่าเป็น ฮับ (Hub)
        • Closeness Centrality เป็นการวัดค่าว่าโหนดใดบ้างสามารถส่งข้อมูลไปยังโหนดอื่นได้เร็วที่สุด การคำนวณจะหาเส้นที่ใกล้ที่สุด

    Storytelling with Data

    การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล

    Data storytelling เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรือกราฟให้เข้ากับการสื่อสารของมนุษย์เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยใช้เทคนิคทาง Data visualization เพื่อสื่อความหมายของข้อมูลเชิงลึกในลักษณะที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ

    ✅ ในยุคปัจจุบัน การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล มีความสำคัญเป็นอย่างไรมาก ใครที่สามารถนำเสนอเรื่องราว ได้ดีและตรงจุด จะสามารถประสบความสำเร็จในการทำงาน เช่นเดียวกับ บรรดาเหล่านักสืบ หากทำการสืบสวนมาเกือบตาย แต่ปรากฎว่าไม่สามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่ได้จากการสืบสวนและการวิเคราะห์ข้อมูลได้ ก็เท่ากับว่าเปล่าประโยชน์ ดังนั้นนักสืบที่ดีจะต้อง สามารถนำเรื่องราวข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวน และการวิเคราะห์ข้อมูล มาทำรายงานการสืบสวน ทำเอกสารบรรยายสรุป และ เล่าเรื่องราวเชื่อมโยงได้

    การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลแบบหวังผล สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน

    1. การเข้าใจความสำคัญของบริบท (The Importance of Context) ในการทำ Data visualization เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบคำถาม “ใคร (Who)” และ “อะไร (What)”
    2. การเลือกภาพที่หวังผลได้ มีประสิทธิภาพ (Choosing an Effective Visual) เพื่อการสื่อสาร
    3. การลดความยุ่งเหยิง (Clutter Is Your Enemy!) เป็นการลดปัญหาความซับซ้อนและรายละเอียดสิ่งที่ไม่จำเป็นในภาพ
    4. โฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชม (Focus Your Audience’s Attention) การโฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชมเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ
    5. การคิดอย่างนักออกแบบ (Think Like A Designer) เป็นการเทียบเคียงแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์มาใช้อธิบายสื่อสารข้อมูล

    Suddenly Talented การพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นมาทันที

    Talent คือความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด “inborn” หรือ จริง ๆ แล้วเราสามารถฝึกฝนเพื่อ “acquire” ทักษะนี้ได้

    ถ้า talent เป็นเรื่องที่เราพัฒนาได้จริง คำถามก็คือ ต้องฝึกนานเท่าไหร่ ต้องฝึก หรือ ต้องเรียนถึง 10,000 ชั่วโมง เหมือนที่ conventional wisdom บอกไว้เลยไหม?

    การก้าวข้ามผ่านการเป็นแค่ค่าเฉลี่ย ให้ดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่จำเป็นเก่งที่สุดก็ได้ (คล้ายๆ Generalist) นั้นเราจะต้องทำอย่างไร ??

    Talent (n.) แปลไทยตรง ๆ ว่าพรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษ

    talent คือ perception (การรับรู้)  ที่คนอื่น ๆ มองมาที่เรา ทุกอย่างในโลกจริง ๆ เป็น perception หมดเลย

    ถ้าเราเป็นคนที่มีทักษะสูงกว่าค่าเฉลี่ย นิดหน่อย ทำได้หลายทักษะ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรอบข้างมองเราเป็น talent แล้ว

    Skill stacking (n.) คือการผสมผสานหลาย ๆ ทักษะมาใช้ทำงานให้สำเร็จ

    skill spectrum แบบเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ no skill หรือ hopeless < average < doable greatness < genius (mastery หรือ talent)

    คำถามคือเราจะฝึกยังไง ต้องเรียนแบบไหน ที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นเร็วที่สุดภายใน 20 ชั่วโมง? 

    สมองเราจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่เคยฝึกใช้มันเลย ทักษะก็คงไม่เกิด

    กฎ 10,000 ชั่วโมง ที่บอกว่าคน ๆ หนึ่งเราสามารถฝึกทักษะอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็น 10,000 ชั่วโมง ที่บอกว่าคน ๆ หนึ่งต้องฝึกฝนตัวเองเป็นหมื่นชั่วโมง เพื่อจะได้เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญที่แท้จริง

    เราสามารถฝึกทักษะอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็น 10,000 ชั่วโมง แต่แค่ 20-30 ชั่วโมงเท่านั้น เป้าหมายคือ สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่ต้องเก่งที่สุดก็ได้

    The ECS Framework

    ECS ย่อมาจาก Energy > Confidence > Skill สามคำนี้เขียนเรียงต่อกัน ห้ามสลับตำแหน่ง พลังเกิดก่อนความมั่นใจ และความมั่นใจต้องมาก่อนทักษะ

    • Energy
    • Confidence
    • Skill

    ถ้าเราเข้าใจ ECS ประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกวิธี คนจะเริ่มมองเราเป็น Doable Greatness ทันที (Doable Greatness จะคล้ายกับ Generalist)

    Energy

    Energy คือ metric ที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วย ถ้ามีพลังงาน เราก็สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ถ้าเมื่อไหร่ energy เป็นศูนย์ ลองนึกภาพดูว่า ตัวเราจะเป็นอย่างไร

    สรุป energy คือปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่นๆได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วย

    Confidence

    ตัวถัดมาคือ Confidence แปลภาษาไทยว่า “ความมั่นใจ” นิยาม Confidence คือเรื่องเดียวกันกับ Mindset

    Mindset คือชุดความคิด ความเชื่อ และสมมติฐาน ที่เราใช้สร้างตัวเราและโลกขึ้นมา เป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราทำได้ ทำไม่ได้ และอะไรที่เป็นไปได้ what’s possible

    ถ้าเราคิดว่าทำได้ เราก็ทำได้ .. ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ .. ทั้งสองความคิดเป็นจริงทั้งคู่ อยู่ที่เราเลือกมี mindset แบบไหน

    Skill

    ตัวสุดท้ายของ ECS คือคำว่า Skill มีพลังงาน มีความมั่นใจ ทักษะจะเกิดขึ้นทันที

    ลองจินตนาการ ว่าเรามี energy ที่จะนั่งเรียนได้ทุกวัน มี confidence เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ พร้อมที่จะ expand our mind เพื่อเก่งขึ้นเรื่อยๆ

    เมื่อเราฝึกฝนทักษะบางอย่างจนเราสามารถทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น เราจะใช้ energy ทำงานนั้นน้อยลงทันที เป็นระดับที่ เรียกว่า Competency (ความสามารถ)

    • Skill คือการที่เราทำงานหนึ่งๆได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ
    • Skill คือการทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น และมีความแม่นยำ ถูกต้อง หรือพูดอีกแบบ ทักษะคือความสามารถในการ errors ให้น้อยลงเรื่อยๆ
    • Skill คือการที่เราสามารถทำอะไรสักอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ (แบบชั่วคราว)

    สิ่งที่เราควรฝึกให้ถึงระดับ competence แบ่งเป็น 3 เรื่องคือ

    1. ฝึก programs หรือ software ที่เราใช้ทำงานทุกวัน เช่น Google Slides, Google Sheets หรือ Note Taking Apps
    2. ฝึก skills ที่สำคัญกับชีวิต (ทักษะที่สำคัญ)
    3. ฝึก skills ที่สำคัญกับงานของเรา หรือที่เราอยากทำในอนาคต

    สรุป

    • Talent ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เกิดมาจากการฝึกฝน และความต่อเนื่อง
    • Talent คือ perception ที่คนอื่นมองมาที่เรา เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน (environment & mind scope)
    • เราไม่จำเป็นต้องไปให้สุด ก็สามารถประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิตได้
    • Doable Greatness คือ moment ที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นมืออาชีพ
    • Energy + Confidence + Skill เข้าใจสามเรื่องนี้ ก็เก่งขึ้นทันที Suddenly Talented
    • ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือ Distraction โดยเฉพาะ social media
    • ปกป้องเวลาของเรา ลดเวลา Dead-Time เปลี่ยนมันเป็น Learning-Time
    • ทักษะการเขียนคือหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของยุคนี้
    • ยิ่งเราเขียนเก่งเท่าไหร่ โอกาสในชีวิตเรายิ่งมากขึ้นเท่านั้น

    “ความสำเร็จ ไม่มีทางลัด อยากได้เราต้องตั้งใจ ฝึกฝน คว้ามันมาด้วยตัวเอง”

     ✅เขียนมาตั้งยาว .. ก็เพื่อจะให้ บรรดาเหล่านักสืบ ได้เห็นว่าในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่บรรดานักสืบจะต้องเป็นคือ Generalist เก่งขึ้นทุกเรื่อง แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่จะต้องเก่งขึ้นทุกวัน และเก่งเกินค่าเฉลี่ย เราจะต้องเก่งก้าวผ่านการเป็นแค่ค่าเฉลี่ย สามารถทำได้หลายทักษะในลักษณะ Skill Stacking แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด

    “เก่งทุกเรื่อง เก่งขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ต้องเก่งเกินค่าเฉลี่ย ทำได้หลายทักษะในลักษณะ Skill Stacking”

    Reference – ขอบคุณข้อมูล และความรู้ดี ๆ จาก..แอดทอย

  • ติตตามรับข่าวสารกด Subscribe

    Join 100 other subscribers