ผมได้มีโอกาสได้ฟัง คุณเล้ง – ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO, MFEC พูดถึงการฝึกสมดุลด้วยศิลปะของความโง่ พ่ายแพ้ เสียเปรียบ และความช้า ฟังแล้วได้ mindset ดีมาก ๆ เลยอยากจะสรุป เอามาแชร์ ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกัน
เราอยู่ภายใต้แรงกดดันของโลกที่ทำให้เราต้องฉลาด ต้องได้เปรียบ ต้องชนะ และต้องเร็วขึ้นตลอดเวลา เราอาจไม่ทันตระหนักว่าในความเป็นจริง ทั้งชีวิตไปจนถึงหน้าที่การงานจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องมีความสมดุล
อะไรที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ
😀 มนุษย์เราแต่ละคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าจัดบางอย่างในชีวิตมันไม่สมดุล โดยมันเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จนเสียสมดุล ความสามารถในการเรียนรู้ในการัฒนามันก็จะหยุดอยู่กับที่ พูดง่าย ๆ “ทำอย่างไรให้มันสมดุล” ทุกอย่างมันคือสิ่งเดียวกัน แค่มีสองด้าน การที่เราให้น้ำหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง มันก็จะเสียสมดุล
เราอยู่ในยุคที่ เราอยากถูกไม่อยากผิด เราอยากชนะไม่อยากแพ้ เราอยากฉลาดไม่อยากโง่ เราอยากได้เปรียบเราไม่อยากเสียเปรียบ เราอยากเร็วไม่อยากช้า
“การที่ไม่เข้าใจอีกฝั่งหนึ่ง
มันจะทำให้เราเสียสมดุล”
คู่ที่ 1
“ถูก | ผิด”
ทุกคนอยากทำถูก ไม่อยากทำผิด

เราต้องมีทัศนคติกับเรื่องที่เราทำผิด หรือ React กับสิ่งที่เราทำผิดแบบถูกต้อง มีมุมมองที่ถูกต้องต่อการทำผิด
คนเราตั้งแต่เรียนมาก็ถูกสอนให้ทำโจทย์ให้ถูก ทำอะไรให้ถูก แล้วพอจบออกมาเราก็ได้ Pattern ว่าเราต้องเป็นคนถูก ยิ่งเราเรียนเก่ง ยิ่งเราทำงานดี เราก็ถูกไปเรื่อย ๆ ๆ พอมันไปสูดโต่ง อีกฝั่งหนึ่งเราก็ไม่ได้ฝึกเลย ก็คือ การทำผิด ถ้ายึดมั่นว่าตัวเองถูก ก็จะไม่มีภาคต่อเลย
หากวันหนึ่ง เรามองว่าการผิดไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย การผิดมีอะไรบ้าง การยอมรับผิด การสารภาพผิด เมื่อเราผิดเราจะต้องพัฒนาความรับผิดชอบ Responsibility การที่เราจะยอมรับผิดได้ เราจะต้องพัฒนาความซื่อสัตย์ ถ้าเรารู้ว่าเราผิด เราก็มีการปรับปรุง และแก้ไข แต่ถ้าเราโฟกัสว่าเราถูกอย่างเดียวมันจบเลย…ที่เหลือไม่ต้องพัฒนาเลย เราไม่ต้องพัฒนาความรับผิดขอบ ไม่ต้องพัฒนาความซื้อสัตย์ ไม่ต้องพัฒนาการย่อมรับอะไรต่างๆ อีกเยอะ
เวลาคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องการทำผิด มันเป็นธรรมชาติคู่กับการทำถูก แล้วไม่ได้พัฒนาในส่วนนี้ มันก็จะเหมือนกับมีความมั่นใจมากเกินไป (Overconfident) แปลว่าคนกลุ่มนี้จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ มีความสามารถในการ เห็นข้อผิดพลาดของคนอื่นได้เร็วได้ไว ขยายข้อผิดพลาดของคนอื่น เพื่อกลบจุดอ่อนข้อผิดพลาดของตนเอง
เพราะฉะนั้น อันเริ่มต้นสุด ก็คือ เราต้องรู้ว่า เราก็เหมือนกับทุกคน มันต้องมีผิดมีถูก ต้องยอมรับ เมื่อเรายอมรับเราจะพัฒนาอีกซีกหนึ่งได้
ทำไม่ Design Thinking ถึงได้โด่งดัง (Design Thinking – กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ) เพราะ เค้าสอนให้คน มีทัศนคิตต่อการทำผิด ไม่ซีเรียสในการทำผิด เขา React ตอบสนองกับการทำผิด ยิ่งทำผิดก็ยิ่งเรียนรู้
การที่ผิดจะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกจะคิดไม่ออก ถ้าไม่เคยฝึกข้อผิดพลาดของเราจะเป็นอดีตเท่านั้น แต่ปัจจุบัน และอนาคต เราไม่เคยผิดเลย
คู่ที่ 2
“ฉลาด | โง่”
ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากโง่

ก่อนการจะพูดถึงคู่ฉลาดกับโง่ ทุกคนอยากฉลาด ไม่มีใครอยากจะโง่ คนรุ่นใหม่เค้าหาตัวเองไม่เจอ สิ่งแรกจะต้องเข้าใจ Concept เหมือนการขูดหินปูน ขูดหินปูนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะตอบว่าขูดทุกหกเดือน เพราะเรามีความรู้ว่า ไม่ว่าเราแปรงฟันดีแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เป็นหมอฟัน ในหกเดือนหินปูนก็ตามมาเกาะ
คำถามครั้งล่าสุดที่เรากะเทาะอีโก้ เมื่อไหร่ ไม่ว่าเรารู้ตัวอย่างไรก็ตาม ภายในหกเดือน อีโก้ ก็จะมาเกาะ เราก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เริ่มต้นก่อน ต้องทำก่อนก็คือ ทำให้เราเป็นน้ำครึ่งแก้ว
เหมือนกัน การฉลาด หรือโง่ หากว่าอีโก้มันเต็ม เราต้องทำให้มันเป็นน้ำครึ่งแก้ว เราถึงเริ่มเรียนรู้ เราจะได้เป็นคนฉลาด จะได้เก่ง
หากถามน้อง ๆ ในทีม น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นไหน น้อง ๆ จะบอกว่าชอบพี่ ๆ ที่เป็นเวอร์ชั่นโง่ ที่พี่ ๆ ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องนี้
“จริง ๆ เวลาเราไม่รู้ เวลาเราโง่ เป็นการเยินยออีกฝ่ายหนึ่งขั้นสูงเลยนะ”
ไม่มีใครหรอกที่ฉลาดแล้วเรียนรู้มีแต่คนที่อยู่ในสภาวะของแก้วว่าง ถึงเรียนรู้
ความฉลาดกับอีโก้ สิ่งที่มักมาพร้อมกัน เวลาฉลาด ไม่ว่าเราพูด เราแสดงตัว จะมีอีโก้แฝงอยู่เสมอ เราต้องการฉลาดเพื่อโปรโมทตัวเอง เราต้องการฉลาดเพื่อรู้สึกว่าเหนือกว่าคนอื่น เพราะฉะนัันการที่เราแสดงความฉลาด มันจะมี อีโก้ เป็นตัวกำกับ
คำสอนของพุทธศาสนา จริง ๆ เค้าต้องการปัญญา ปัญญา คือ การตัดอีโก้ ตัดทุกอย่าง แล้วมันจะเห็นจริง เห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วได้เรียนรู้ ปัญญากับ ความฉลาดมันต่างกัน ปัญญาเป็นเหมือน observer เป็น wisdom
จุดเริ่มต้นไม่อยากผิด อยากฉลาดไม่อยากโง่ ทำอย่างไรให้เรากล้าผิดมากขึ้น ยอมรับในความไม่รู้ของเรามากขึ้น นี้คือจุดเริ่มต้นที่จะเปิดประตูให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้วทำอะไรได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
คู่ที่ 3
“ชนะ | แพ้”
“ได้เปรียบ | เสียเปรียบ”
ทุกคนอยากชนะ อยากประสบความสำเร็จ อยากได้เปรียบ ไม่อยากเสียเปรียบ

หากใครเป็นแฟนหนังกำลังภายในของจีน ก็จะรู้จัก “ต๊กโกวคิ้วป้าย” ฉายาของเค้าก็คือ “โดดเดี่ยวผู้ขวนขวายหาความพ่ายแพ้” ต๊กโกวคิ้วป้าย เค้าเกิดมาหาความพ่ายแพ้ตลอด หาคนเก่งกว่าแล้วก็พ่ายแพ้ จนหาคนเก่งกว่าไม่ได้ ณ วันนั้นเค้าก็เป็นคนเก่งที่สุดในยุทธจักร
เราอยู่ในสังคมที่ถูกสอนให้ฉลาด โดยเราแพ้ไม่เป็น การแพ้เหมือนกับการทำความผิด เราต้องผิดให้เป็น แพ้ก็เหมือนกัน ถ้าเหมือนไหร่คนฝึก skill อีกฝั่งหนึ่งของการแพ้ เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะถอย เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรจะยอมแพ้
การที่มีทัศนคติ react กับการพ่ายแพ้ที่ถูกต้อง โดยเรารู้ว่าเราแพ้ มันจะไม่ใช่ว่าเราแพ้แล้วเราโกรธ แพ้แล้วไปเกลียดอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเราฝึกในการแพ้ แปลว่าทุกครั้งที่แพ้ เราจะสามารถพัฒนาในเรื่องรับคำวิจารณ์ของคนอื่นได้ รับ Feedback ของคนอื่นได้ ถ้าเราต้องการชนะอย่างเดียว พอเสร็จเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการแพ้ในครั้งนั้นเลย
ธรรมชาติของการเรียนรู้ของเรา เราไม่มีทางที่จะเรียนรู้ ในสภาวะที่เราเป็น Negative เช่น เราเกลียดคนนี้ เราก็จะไม่ได้เรียนรู้จากเค้า เราไม่ชอบ เราไปด่าว่าเค้า ในสภาวะนั้น หรือเราโกรธ เราจะไม่ได้เรียนรู้เลย เราจะเรียนรู้ต่อเมื่อเราชื่นชมเค้า เรามีสภาพจิตใจที่เป็น Positive
เพราะฉะนั้นการแพ้กับการเรียนรู้เป็นของคู่กัน จริง ๆ การแพ้ การชนะไม่ได้เป็นทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ ว่ามันเกิดจากแพ้ ๆ ๆ แล้ว ก็ชนะ
ทุกครั้งที่คนที่แพ้เป็น คนที่ยอมแพ้ได้ จะมีการเรียนรู้ แล้วจะมีการขยับขึ้นไปอีกขั้น
เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่คนเก่งเยอะ ๆ ไปเป็นคนโง่ในที่นั้น ถ้าคนใฝ่หาความชนะอย่างเดียว เค้าจะหาคนอ่อนกว่าเรื่อย ๆ ขณะที่คนที่หาการพ่ายแพ้ เค้าจะหาคนที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อไหร่เราให้คุณค่ากับความพ่ายแพ้ เริ่มเรียนรู้กับความพ่ายแพ้ เราก็จะได้เป็นโอกาสในการเรียนรู้อีกอันหนึ่ง ผิดพลาดแล้วเราเรียนรู้อะไร?
ในมุมองของหัวหน้าเมื่อเห็นลูกน้องพ่ายแพ้ ถ้าเราเห็นว่าศักยภาพของน้อง ๆ มีทางพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เค้าควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าแพ้เพราะอะไร และ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าชนะเพราะอะไร อันนี้ โอเค ต้องรู้ว่าแพ้หรือชนะเพราะอะไร
สิ่งที่น่ากลัวสุด คือการทำในสิ่งที่เป็น pattern โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
คู่ที่ 4
“เร็ว | ช้า”
ทัศนคติในเรื่องของเร็วกับช้า VUCA World

“VUCA World” เป็นคำย่อของ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity) ในยุคปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
บางอย่างควรที่จะเร็ว แต่บางอย่างควรที่จะช้า แปลว่าบางอย่างเร็วจะไม่ก่อผล หลาย ๆ อย่างจำเป็นต้องใช้ความช้า
หนังสือ Thinking fast Thinking slow อะไรที่ต้องการเรียนรู้ อะไรที่วิเคราะห์ ต้องช้าอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะ Multitasking ทำหลายอย่าง ทำอย่างหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง ทำตอนที่สปีดเร็ว ๆ บางอย่างเราต้องตั้งใจให้มันช้า เพื่อที่จะได้เรียนรู้
เราช้าลงเพื่อที่เราจะได้คิดได้ดีขึ้น เรียนรู้ได้มากขึ้น เพื่อที่อีกหน่อยเราจะได้เอามาเป็น Aoto Mode ของเรา แล้วเราก็จะได้เร็วขึ้นได้ในอนาคต
เคล็ดลับในการหาคนมาทำงาน
เลือกคนผิด ผิดไปแล้ว 70% อย่าคิดว่าการเลือกคนผิดแล้วใช้การ training ใช้อะไรต่าง ๆ แล้วมันจะช่วยได้ เราจะต้องเลือกคนที่ cultured เหมาะกับเรา เมล็ดพันธ์ุประเภทไหนที่อยู่กับเราแล้ว เค้าได้เติบโตดีสุด เราไม่สามารถที่จะเลี้ยง หรือเพาะพันธ์ หรือพัฒนาคนเก่ง ได้คนทุกประเภท
คุณสมบัติข้อที่ 1 คนกลุ่มแรกที่อยากได้ คือ คนที่เจอความลำบากในชีวิต มีโอกาสน้อย ผ่านความลำบาก คนประเภทนี้ ถ้าเราให้โอกาส และเราสอน ก็จะถูกจริตกับเรามาก คนประเภทนี้ เค้าอดทน โอกาสเค้าน้อย เค้าไม่ได้สมหวัง เค้าถูกฝึกตนเอง ของสมดุลอีกข้างหนึ่งมาแล้ว ที่เป็นการฝึกโดยธรรมชาติ
คุณสมบัติข้อที่ 2 คือ หาคนที่มีคุณสมบัติของความกตัญญู คนกตัญญู จะเป็นคนที่สามารถควบคุมอีโก้ตัวเองได้ คนอกตัญญูมักจะถูกอีโก้ครอบงำแล้วเหนือกว่า
การหาคนกตัญญู จะใช้คุณสมบัติของ mathematics ถ้า A = B , B = C , C = D แล้ว A จะเค้ากับ D โดยอัตโนม้ติ
“คนกตัญญู คนใจกว้าง คนมีสปิริส จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน .. คนใจแคบ คนอกตัญญู คนเห็นแก่ตัว จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”
คำถามคือ คนเห็นแก่ตัว คนใจแคบ คนอกัตญญู เป็นคนเลวไม่ .. ตอบ เค้าไม่ใช่เป็นคนเลวนะครับ เพียงแต่เค้ามีความสามารถในการ control ควบคุมอีโก้ของตัวเองต่ำ เวลาอีโก้ มานำก็จะนึกถึงตัวเองเป็นหลัก
คุณสมบัติข้อที่ 3 ความลับของฟ้า เป็นผลมาจากการทำ research คนที่เก่งที่สุด กับคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เป็นคนละเซ็ตกัน คนที่เรียนเยอะสุด เรียนสูงสุด กับคนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนละเซ็ตกัน แต่ข้อมูลกลับโชว์ว่า กลุ่มคนที่กลัวเมียที่สุด กับกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นกลุ่มคนเซ็ตเดียวกัน…5555
- mindset ของคนมีอยู่ 2 แบบ
- เป็นคนฉลาด เก่ง mindset คือ มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลากับทุกเรื่อง เป็น mindset เปรียบเทียบหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว
- เป็น mindset เหมือนเล่นเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ เราตัดสินใจแล้ว เราจะเลือกตรงนี้ เราจะทำตรงนี้ สิ่งที่คิดคือเอาจิ๊กซอว์ที่มีหรือสิ่งที่ตัดสินใจประกอบเป็นภาพที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เป็น mindset ของคนที่อยากได้อะไร ก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ปักหลักกับสิ่งที่ตัวเองสร้าง
เราดูแลคนพวกนี้อย่างไร ไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ
จุดอ่อนของการบริหาร คือ การเป็นคนใจดี ในการบริหารเราจะต้องสร้างสมดุลระหว่าง ใจดี กับ ความเหี้ยม มันต้องมีผสมประสานกัน เวลาเราใจดี เราจะไม่ยุติธรรม เราจะถัว
เวลาเราใจดี เราจะพัฒนาด้านหนึ่ง โดยเราไม่ได้พัฒนาอีกด้านหนึ่ง เราไม่มีความสามารถเผชิญหน้าแบบบวก
ความกตัญญู
หาคนเก่ง หาคนฉลาด คนเก่งทำงาน ไม่ยาก เท่ากับหาคนที่มีสายตาแหลมคมในการดูคน ต้องรู้ว่าคนไหนเค้าทำดีต่อเรา ส่วนใหญ่หัวหน้ามักจะมองไม่ออก เพราะเกิดจาการถัว เพราะฉะนัันการเห็นที่เท่าทัน มันเป็น skill ของหัวหน้าอย่างหนึ่ง
ทำอย่างไรให้ลูกน้องกตัญญู จริงๆ ตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้ กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ ความรู้สึกของผู้ให้ เมื่อไหร่อ้าปากก็จะเป็นการทวงบุญคุณ คนที่เค้ากตัญญู เค้าจะรู้เอง ว่าเค้าเคยได้รับบุญคุณ เคยเรียนรู้ จากใคร จากที่ไหน มันคือประเภทของคน ศิลปะของการเสียเปรียบ เราอาจจะยอมเสียเปรียบก่อน ลงทุนสร้าง แล้วถ้าเราได้คนถูกประเภท เดี๋ยวเค้าจะกลับคืนมาให้เรา มากกว่าที่เราให้
“กตัญญูไม่ได้อยู่ที่ผู้ให้
กตัญญูเป็นความรู้สึกของผู้รับ”

พยายามมองทุกคนเป็น professional มองคนด้วยความเป็นมืออาชีพ อย่าเอาเปรียบลูกน้อง เนื่องด้วยเค้าเด็ก เอาเปรียบเนื่องด้วยเค้าไม่เท่าทันเรา เพราะว่าเมื่อไหร่วันหนึ่ง แล้วเค้าฉลาดขึ้นมา เค้าคิดทันขึ้นมาความเชื่อใจจะไม่เหลือ
เป็นเรื่องของ give and take เราต้องให้ก่อน ให้เพราะเราอยากจะให้ ไม่ได้หวังผล
อ่านแล้วหากเป็นประโยชน์ก็ลองไปปรับใช้งานดูนะครับ …ติดตามกับ Blog ต่อไปกันได้นะครับ



























