Author: Agent_N

  • รวมคีย์ลัด Notion ทำงานให้โปร

    รวมคีย์ลัด Notion ทำงานให้โปร

    รวมคีย์ลัดใน Notion แบ่งตามระบบปฏิบัติการ Mac Windows และ Linux

    หมวดหมู่คำสั่งMacWindows/Linux
    ค้นหาและนำทางค้นหาในหน้าcmd + Fctrl + F
    เปิดการค้นหาหรือเปลี่ยนไปหน้าที่เพิ่งดูcmd + P หรือ cmd + Kctrl + P หรือ ctrl + K
    คัดลอกลิงก์ของหน้าcmd + Lctrl + L
    ย้อนกลับไปหน้าที่แล้วcmd + [ctrl + [
    ไปข้างหน้าอีกหน้าcmd + ]ctrl + ]
    ไปหน้าก่อนหน้าใน peek viewctrl + shift + Kctrl + K
    ไปหน้าถัดไปใน peek viewctrl + shift + Jctrl + J
    สลับโหมดมืด/สว่างcmd + shift + Lctrl + shift + L
    หน้าต่างและแท็บสร้างหน้าขึ้นใหม่cmd + Nctrl + N
    เปิดหน้าต่างใหม่ของ Notioncmd + shift + Nctrl + shift + N
    เปิดลิงก์ในแท็บใหม่cmd + clickctrl + click
    สร้างแท็บใหม่ใน Notioncmd + Tctrl + T
    เปิดหน้าในหน้าต่างใหม่option + shift + clickไม่มี
    แก้ไขข้อความตัวหนาcmd + Bctrl + B
    ตัวเอียงcmd + Ictrl + I
    ขีดฆ่าcmd + shift + Sctrl + shift + S
    โค้ดในบรรทัดcmd + Ectrl + E
    ลิงก์ข้อความcmd + Kctrl + K
    ขีดเส้นใต้cmd + Uctrl + U
    การสร้างและรายการสร้างหัวข้อ H1/h1 หรือ /#/h1 หรือ /#
    สร้างหัวข้อ H2/h2 หรือ /##/h2 หรือ /##
    สร้างหัวข้อ H3/h3 หรือ /###/h3 หรือ /###
    สร้างรายการจุด/bullet หรือ *, -, + แล้วเว้นวรรค/bullet หรือ *, -, + แล้วเว้นวรรค
    สร้างรายการเลข/num หรือ 1., a., i. แล้วเว้นวรรค/num หรือ 1., a., i. แล้วเว้นวรรค
    สร้างรายการเช็กลิสต์/todo หรือ [] แล้วเว้นวรรค/todo หรือ [] แล้วเว้นวรรค
    มีเดียเพิ่มรูปภาพ/image/image
    เพิ่มวิดีโอ/video/video
    เพิ่มไฟล์เสียง/audio/audio
    เพิ่มไฟล์/file/file
    การปรับแต่งบล็อกคัดลอกบล็อก/duplicate/duplicate
    ย้ายบล็อก/moveto/moveto
    ลบบล็อก/delete/delete
    สร้างสารบัญ/toc/toc
    เปลี่ยนประเภทบล็อก/turn/turn
    การใช้ @ คำสั่งเมนชันบุคคล@ชื่อบุคคล@ชื่อบุคคล
    ลิงก์ไปยังหน้า@ชื่อหน้า@ชื่อหน้า
    เพิ่มวันที่@วันที่ หรือ /date@วันที่ หรือ /date
    คำสั่ง [[ และ +ลิงก์ไปยังหน้า[[ชื่อหน้า]] หรือ +ชื่อหน้า[[ชื่อหน้า]] หรือ +ชื่อหน้า
    สร้างหน้าลูก[[ชื่อหน้าลูก]][[ชื่อหน้าลูก]]
    คีย์ลัดขั้นสูงขยาย/ยุบ toggle ทั้งหมดcmd + option + Tctrl + alt + T
    เลื่อนบล็อกcmd + shift + ลูกศรctrl + shift + ลูกศร
    ซูมเข้า/ซูมออกcmd + + / cmd + -ctrl + + / ctrl + -
    กลับไปยังหน้าหลักในลำดับชั้นของหน้าcmd + shift + Uctrl + shift + U
    สร้าง commentcmd + shift + Mctrl + shift + M
    Markdown styleตัวหนา**ข้อความ****ข้อความ**
    ตัวเอียง*ข้อความ**ข้อความ*
    ขีดฆ่า~ข้อความ~~ข้อความ~
    โค้ดในบรรทัดข้อความข้อความ
    แทรกเส้นคั่น------
    การสร้าง inlineใช้ emoji:ชื่ออีโมจิ เช่น :apple:ชื่ออีโมจิ เช่น :apple
    ใช้ emoji pickerctrl + cmd + spacewindows key + . หรือ windows key + ;
    คำสั่ง / (Slash)สร้างข้อความธรรมดา/text หรือ /plain/text หรือ /plain
    สร้างหน้าใหม่/page/page
    สร้างรายการจุด/bullet/bullet
    สร้างรายการเลข/num/num
    สร้างรายการเช็กลิสต์/todo/todo
    สร้าง toggle list/toggle/toggle
    สร้างเส้นคั่น/div/div
    สร้างข้อความ quote/quote/quote
    สร้างหัวข้อ H1/h1 หรือ /#/h1 หรือ /#
    สร้างหัวข้อ H2/h2 หรือ /##/h2 หรือ /##
    สร้างหัวข้อ H3/h3 หรือ /###/h3 หรือ /###
    ลิงก์ไปยังหน้า/link/link
    แทรกวันที่/date หรือ /reminder/date หรือ /reminder
    แทรกสูตรคณิตศาสตร์/equation หรือ /math/equation หรือ /math
    แทรก emoji/emoji/emoji
    คำสั่งมีเดียเพิ่มรูปภาพ/image/image
    เพิ่มวิดีโอ/video/video
    เพิ่มไฟล์เสียง/audio/audio
    เพิ่มไฟล์/file/file
    ฝังเนื้อหาอื่น ๆ/embed/embed
    ฝัง PDF/pdf/pdf
    ฝัง Bookmark/book/book
    คำสั่งขั้นสูงคัดลอกบล็อก/duplicate/duplicate
    ย้ายบล็อก/moveto/moveto
    ลบบล็อก/delete/delete
    สร้างสารบัญ/toc/toc
    สร้าง breadcrumb/bread/bread
    สร้างปุ่ม template/button หรือ /template/button หรือ /template

    คีย์ลัดที่นิยมมากที่สุด | ⚡️เมนูลัด

    • ค้นหาในหน้า: กด cmd + F (Mac) หรือ ctrl + F (Windows/Linux)
    • เปิดการค้นหาหรือเปลี่ยนไปหน้าที่เพิ่งดู: กด cmd + P หรือ cmd + K (Mac) / ctrl + P หรือ ctrl + K (Windows/Linux)
    • คัดลอกลิงก์ของหน้า: กด cmd + L (Mac) หรือ ctrl + L (Windows/Linux)
    • ย้อนกลับไปหน้าที่แล้ว: กด cmd + [ (Mac) หรือ ctrl + [ (Windows/Linux)
    • ไปข้างหน้าอีกหน้า: กด cmd + ] (Mac) หรือ ctrl + ] (Windows/Linux)
    • ไปหน้าก่อนหน้าใน peek view: กด ctrl + shift + K (Mac) หรือ ctrl + K (Windows/Linux)
    • ไปหน้าถัดไปใน peek view: กด ctrl + shift + J (Mac) หรือ ctrl + J (Windows/Linux)
    • สลับโหมดมืด/สว่าง: กด cmd + shift + L (Mac) หรือ ctrl + shift + L (Windows/Linux)

    คีย์ลัดสำหรับเดสก์ท็อป | ⚡️เมนูลัด

    • สร้างหน้าขึ้นใหม่: กด cmd + N (Mac) หรือ ctrl + N (Windows/Linux)
    • เปิดหน้าต่างใหม่ของ Notion: กด cmd + shift + N (Mac) หรือ ctrl + shift + N (Windows/Linux)
    • เปิดหน้าในหน้าต่างใหม่: กด option + shift + click (Mac)
    • เปิดลิงก์ในแท็บใหม่: กด cmd + click (Mac) หรือ ctrl + click (Windows/Linux)
    • สร้างแท็บใหม่ใน Notion: กด cmd + T (Mac) หรือ ctrl + T (Windows/Linux)

    คำแนะนำเกี่ยวกับอีโมจิ | ⚡️เมนูลัด

    • เพิ่มอีโมจิในข้อความ: พิมพ์ : ตามด้วยชื่ออีโมจิ เช่น :apple หรือ :clapping
    • เรียกเครื่องมือเลือกอีโมจิ: กด ctrl + cmd + space (Mac) หรือ Windows key + . หรือ Windows key + ; (Windows)

    จัดรูปแบบข้อความ | ⚡️เมนูลัด

    • ตัวหนา: พิมพ์ *ข้อความ**
    • ตัวเอียง: พิมพ์ ข้อความ*
    • ขีดฆ่า: พิมพ์ ~ข้อความ~
    • โค้ดในบรรทัด: พิมพ์ ข้อความ
    • แทรกเส้นคั่น: พิมพ์ --

    การสร้างและจัดการเนื้อหา | ⚡️เมนูลัด

    • สร้างรายการจุด: พิมพ์ -, * หรือ + แล้วเว้นวรรค + space
    • สร้างรายการเช็กลิสต์: พิมพ์ [] แล้วเว้นวรรค + space
    • สร้างรายการเลข: พิมพ์ 1., a., หรือ i. แล้วเว้นวรรค + space
    • สร้างหัวข้อ Heading:
      • H1: พิมพ์ # + space
      • H2: พิมพ์ ## + space
      • H3: พิมพ์ ### + space
    • แทรกข้อความคำพูด: พิมพ์ > แล้วเว้นวรรค

    คีย์ลัดขั้นสูง | ⚡️เมนูลัด

    • ขยาย/ยุบ toggle ทั้งหมด: กด cmd + option + T (Mac) หรือ ctrl + alt + T (Windows/Linux)
    • ซูมเข้า/ซูมออก: กด cmd + + / cmd + - (Mac) หรือ ctrl + + / ctrl + - (Windows/Linux)
    • เลื่อนบล็อก: กด cmd + shift + ลูกศร (Mac) หรือ ctrl + shift + ลูกศร (Windows/Linux)
    • กลับไปยังหน้าหลักในลำดับชั้นของหน้า: กด cmd + shift + U (Mac) หรือ ctrl + shift + U (Windows/Linux)

    คำสั่ง / (Slash Commands) | ⚡️เมนูลัด

    • สร้างข้อความธรรมดา: พิมพ์ /text หรือ /plain
    • สร้างหน้าใหม่: พิมพ์ /page
    • สร้างรายการจุด: พิมพ์ /bullet
    • สร้างรายการเลข: พิมพ์ /num
    • สร้างรายการเช็กลิสต์: พิมพ์ /todo
    • สร้าง toggle list: พิมพ์ /toggle
    • แทรกเส้นคั่น: พิมพ์ /div
    • สร้างข้อความคำพูด: พิมพ์ /quote
    • สร้างหัวข้อ:
      • H1: พิมพ์ /h1 หรือ /#
      • H2: พิมพ์ /h2 หรือ /##
      • H3: พิมพ์ /h3 หรือ /###
    • เพิ่มสื่อ:
      • เพิ่มรูปภาพ: พิมพ์ /image
      • เพิ่มวิดีโอ: พิมพ์ /video
      • เพิ่มไฟล์เสียง: พิมพ์ /audio
      • เพิ่มไฟล์: พิมพ์ /file
    • ฝังเนื้อหาอื่น ๆ: พิมพ์ /embed

    คำสั่งพิเศษ | ⚡️เมนูลัด

    • เมนชันบุคคล: พิมพ์ @ ตามด้วยชื่อบุคคล
    • ลิงก์ไปยังหน้า: พิมพ์ @ ตามด้วยชื่อหน้า
    • เพิ่มวันที่: พิมพ์ @วันที่ หรือ /date
    • สร้างสารบัญ: พิมพ์ /toc
    • สร้าง breadcrumb: พิมพ์ /bread
    • สร้างปุ่ม template: พิมพ์ /button หรือ /template

  • Notion Shortcuts cheatsheet : Part 2  (ยกระดับการใช้งาน Notion ด้วย Slash commands)

    Notion Shortcuts cheatsheet : Part 2 (ยกระดับการใช้งาน Notion ด้วย Slash commands)

    Notion Shortcuts เป็นเครื่องมือสำหรับการใช้งาน Notion ในการจดโน้ต เพื่อสร้าง Sceond Brain ให้ได้เร็วขึ้น ด้วย Slash commands : Part2

    Slash commands (Basic)

    /textcreates a new text block
    /pagecreates a new page
    /bulletcreates a bulleted list
    /numcreates a numbered list
    /todocreates a to-do list with checkboxes
    /togglecreates a toggle list
    /divcreates a light gray divider
    /quotecreates a quote block of larger text
    /h1creates a large heading
    /h2creates a medium-sized heading
    /h3creates a small heading
    /linkcreates a link to another page in your workspace
    escclears the / menu

    Slash commands (Database)

    /table-inlinecreates a database table inside a current page
    /board-inlinecreates a Kanban board inside a current page
    /calendar-inlinecreates a calendar inside a current page
    /list-inlinecreates a list-style database inside a current page
    /gallery-inlinecreates a gallery inside a current page
    /linkedcreates a linked database

    Slash commands (Media)

    /imagewill bring up the option to upload or embed an image, or add one from Unsplash
    /pdflets you paste in a URL to any PDF so it will display in-line on your page
    /booklets you paste in a URL to any website to create a web bookmark
    /videolets you upload a video file or embed a video from YouTube, Vimeo, etc
    /audiolets you upload an audio file or embed a recording from SoundCloud, Spotify, etc
    /codecreates a code block where you can write and copy any snippet of code
    /filelets you upload any file from your computer or create an embed
    /embedlets you add any one of the 500+ embeds that work with Notion

    Slash commands (Advanced)

    /commentlets you create a comment on any block
    /button or /templategives you a template button that duplicates any combination of blocks you define
    /breadinserts a breadcrumb menu that shows where your current page is in your workspace
    /mathlets you write mathematical equations and symbols using TeX

  • Notion Shortcuts cheatsheet : Part 1 (ยกระดับการใช้งาน Notion)

    Notion Shortcuts cheatsheet : Part 1 (ยกระดับการใช้งาน Notion)

    Notion Shortcuts เป็นเครื่องมือสำหรับการใช้งาน Notion ในการจดโน้ต เพื่อสร้าง Sceond Brain ให้ได้เร็วขึ้น Part 1

    Markdown style

    **on either side of your text to bold.
    *on either side of your text to italicize
    `on either side of your text to create inline code
    ~on either side of your text to strikethrough
    *,-,+followed by space to create a bulleted list
    []followed by space to create a to-do checkbox
    1.followed by space to create a numbered list
    #followed by space to create an H1 heading
    ##followed by space to create an H2 sub-heading
    ###followed by space to create an H3 sub-heading
    >followed by space to create a toggle list
    followed by space to create a quote block

    Create & style your content

    enterto insert a line of text
    shift + enterto create a line break within a block of text
    cmd/ctrl + shift + mto create a comment
    ---to create a divider
    cmd/ctrl + bbold text
    cmd/ctrl + ito italicize text
    cmd/ctrl + shift + sfor ~~strikethrough~~
    cmd/ctrl + kto add a link. You can also paste a URL over selected text to turn it into a link using cmd/ctrl+v
    cmd/ctrl + bfor inline code
    tabto indent
    shift + tabto un-indent
    /turnat the beginning or end of a block to turn it into a different type of block
    /colorat the beginning or end of any text block to change its color or highlight color
    cmd/ctrl + option/shift + 0to create text
    cmd/ctrl + option/shift + 1to create an H1 heading
    cmd/ctrl + option/shift + 2to create an H2 heading
    cmd/ctrl + option/shift + 3to create an H3 heading
    cmd/ctrl + option/shift + 4to create a to-do checkbox
    cmd/ctrl + option/shift + 5to create a bulleted list
    cmd/ctrl + option/shift + 6to create a numbered list
    cmd/ctrl + option/shift + 7to create a toggle list
    cmd/ctrl + option/shift + 8to create a code block
    cmd/ctrl + option/shift + 9to create a new page, or turn whatever you have on a line into a page
    cmd/ctrl + +to zoom in
    cmd/ctrl + -to zoom out

    Edit & move blocks

    escto select the block you’re currently in. Or to clear selected blocks
    cmd/ctrl + aonce to select the block your cursor is in
    spaceto open a selected image in full-screen. Or to exit full-screen
    arrow keysto select a different block
    shift + clickto select another block and all blocks in between
    backspace or deleteto delete selected blocks
    cmd/ctrl + dto duplicate the blocks you’ve selected
    enterto edit any text inside a selected block (or open a page inside a page)
    cmd/ctrl + /to edit or change one or more selected blocks
    cmd/ctrl + shift + arrow keysto move a selected block around
    cmd/ctrl + option/alt + tto expand or close all toggles in a toggle list
    cmd/ctrl + shift + hto apply the last text or highlight color you used
    cmd/ctrl + enterto modify the current block you’re in

    @ Commands

    Mention a personType @ and another workspace member’s name to get their attention on something
    Mention a pageType @ and the name of another page in your workspace to create a link to it
    Mention a dateType @ and a date in any format
    Add a reminderType @remind followed by a date in any format (e.g:today)
    escto dismiss the @-command menu if you simply want to type @

  • ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ระดับความรู้ 6 ระดับ และข้อคิดจากหนังสือ Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

    ทฤษฎีของบลูม (Bloom’s taxonomy): ระดับความรู้ 6 ระดับ

    Bloom’s Taxonomy เป็นการจัดระดับความรู้ที่แบ่งออกเป็น 6 ระดับจากพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง โดยแต่ละระดับมีการใช้คำกริยาเฉพาะเพื่อแสดงถึงทักษะหรือการกระทำในระดับนั้น ๆ ดังนี้:

    1. จำ (Remember)
      • คำอธิบาย: การจำหรือระลึกถึงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ข้อเท็จจริง คำจำกัดความ หรือหลักการต่าง ๆ
      • คำกริยา: จำ, รู้, ท่อง, ระลึก, แยกแยะ, จดจำ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนจำวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้
    2. เข้าใจ (Understand)
      • คำอธิบาย: การเข้าใจความหมายของข้อมูลและสามารถแปลความหมายหรืออธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้
      • คำกริยา: อธิบาย, สรุป, บรรยาย, แปลความ, จัดเรียง, เปรียบเทียบ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนอธิบายได้ว่าทำไมสงครามโลกครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น
    3. ใช้ (Apply)
      • คำอธิบาย: การนำความรู้หรือข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง
      • คำกริยา: ใช้, ประยุกต์, ปฏิบัติ, แก้ไข, ดำเนินการ, นำไปใช้
      • ตัวอย่าง: นักเรียนใช้สูตรคณิตศาสตร์ในการแก้โจทย์ปัญหา
    4. วิเคราะห์ (Analyze)
      • คำอธิบาย: การแยกแยะส่วนประกอบของข้อมูลและเห็นความสัมพันธ์หรือโครงสร้างของข้อมูล
      • คำกริยา: วิเคราะห์, แยกแยะ, ตรวจสอบ, วินิจฉัย, สำรวจ, สืบค้น
      • ตัวอย่าง: นักเรียนวิเคราะห์องค์ประกอบของเรื่องสั้นและวิจารณ์ว่าอะไรทำให้เรื่องนั้นน่าสนใจ
    5. ประเมินผล (Evaluate)
      • คำอธิบาย: การตัดสินหรือประเมินคุณค่าของข้อมูล วิธีการ หรือผลงาน โดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนด
      • คำกริยา: ประเมิน, ตัดสิน, วิจารณ์, ให้คะแนน, เปรียบเทียบ, ตัดสินใจ
      • ตัวอย่าง: นักเรียนประเมินผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์และสรุปว่าได้ผลตามที่คาดหวังหรือไม่
    6. สร้างสรรค์ (Create)
      • คำอธิบาย: การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยการรวมข้อมูลและความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกันอย่างมีนวัตกรรม
      • คำกริยา: สร้าง, ออกแบบ, คิดค้น, วางแผน, ประดิษฐ์, พัฒนา
      • ตัวอย่าง: นักเรียนออกแบบโครงการวิจัยใหม่เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน

    =======================================================

    ตัวอย่างการใช้คำกริยาใน Bloom’s Taxonomy

    1. จำ (Remember): ท่องจำคำศัพท์ใหม่, รู้วันสำคัญทางประวัติศาสตร์
    2. เข้าใจ (Understand): อธิบายแนวคิดหลักของบทเรียน, สรุปเรื่องราวในหนังสือ
    3. ใช้ (Apply): ประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการแก้ปัญหาจริง, ปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลอง
    4. วิเคราะห์ (Analyze): วิเคราะห์เหตุผลของเหตุการณ์ทางการเมือง, แยกแยะส่วนประกอบของกลไก
    5. ประเมินผล (Evaluate): ตัดสินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล, วิจารณ์ผลงานศิลปะ
    6. สร้างสรรค์ (Create): ออกแบบแอปพลิเคชันใหม่, สร้างบทประพันธ์ใหม่

    =======================================================

    7 ข้อคิดจากหนังสือ
    Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา


    หนังสือที่ทำให้เป็นคุณในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

    1. เมื่อคุณเข้าใจเรื่องกรอบความคิด ว่าคนเราสามารถที่จะเปลี่ยนและเติบโตขึ้นได้แม้เราจะไม่ได้ฉลาดที่สุด เราจะค้นพบโลกใบใหม่
    2. จริงๆ แล้ว คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) คาดหวังความสามารถที่จะแสดงออกมาได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเรียนรู้ใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งการคิดแบบนั้นทำให้เราคิดว่าเราไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ได้เลย
    3. ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) คือคนที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และพร้อมเดินไปข้างหน้าเสมอ เราเปลี่ยนแปลงได้ เก่งขึ้นได้
    4. คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fix mindset) มักจะหนีปัญหา มากกว่ายอมรับและเผชิญหน้า
    5. คุณจะไม่ได้รับกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) อยู่เฉยๆ หรือรอให้มันเข้ามา เราจะได้มาด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเดินทางของชีวิต
    6. ในฐานะผู้นำที่มีกรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (Growth mindset) พวกเขาเริ่มต้นจากความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์และการพัฒนาทั้งของตนเองและของผู้อื่น
    7. การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ไม่เคยได้ยินใครบอกว่ามันไม่คุ้มค่าเลย จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

    “ทุกบทเรียนผ่านคือการเติบโต
    ไม่มีปัญหาไหนใหญ่เกินกว่าตัวเราจะแก้ไข”

  • ผู้ชนะ 10 คิด

    ผู้ชนะ 10 คิด

    เมื่อ 10 กว่าปี มาแล้ว ตอนสมัยอยู่สืบภาค 8 กับ พี่ยาว (พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์) ได้มีโอกาส เรียนรู้เกี่ยวกับ แนวคิด 10 มิติ จากการฝึกอบรม Detective Team ของสืบภาค 8 เมื่อได้มีโอกาสมาทบทวน รู้สึกว่าน่าจะมีประโยชน์กับทีมงานนักสืบ จึงขอเอามาเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    การคิด 10 มิติ เป็นหนังสือชุด ชื่อ ผู้ชนะ 10 คิด ที่เขียนโดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ เป็นการคิดที่ช่วยให้มองเห็นความคิดในหลากหลายด้าน และยังนำเราไปพัฒนาความคิดในแต่ละด้านให้เราได้คิดเป็นมากขึ้น มาดูกันว่า การคิด 10 มิติ มีอะไรกันบ้าง

    1. การคิดเชิงวิพากย์ (Critical Thinking) 

    ความตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่ายๆ แต่ตั้งคำถามท้าทาย หรือโต้แย้งสมมติฐาน และข้อสมมติที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามเปิดแนวทางความคิด ออกลู่ทางต่างๆ ที่แตกต่างจากข้อเสนอนั้น เพื่อให้สามารถได้คำตอบที่สมเหตุสมผล มากกว่าข้อเสนอเดิม

    2.การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

    หมายถึง การจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น

    3.การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis-Type Thinking) 

    หมายถึง ความสามารถในการดึงองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

    4. การคิดเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking)

    หมายถึง การพิจารณาเทียบเคียงความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ระหว่างสิ่งนั้น กับสิ่งอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถอธิบายเรื่องนั้น ได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหา หรือการหาทางเลือดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

     5. การคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการประสานข้อมูลทั้งหมด ที่มีอยู่ เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด ได้อย่างไม่ขัดแย้ง แล้วนำมาสร้างเป็นความคิดรวบยอด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น

    6. การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking)

    หมายถึง การขยายขอบเขตความคิดออกไป จากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น

    7.การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการนำเอาสิ่งที่มีอยู่เดิม ไปปรับใช้ประโยชน์ในบริบทใหม่ ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงหลักการของสิ่งเดิมไว้

    8. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

    9.การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิด หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบายหรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

    10. การคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking)

    หมายถึง ความสามารถในการคาดการณ์ ในอนาคต อย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม

    ผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับบรรดาเหล่านักสืบ ที่จะเอาไปปรับใช้กับการคิดในกระบวนการสืบสวนต่อไป

  • ฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นต้องทำอย่างไร

    ฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นต้องทำอย่างไร

    แน่นอนครับว่าการพิมพ์เร็วจะช่วยทำให้เราประหยัดเวลาลงได้อย่างมาก เราจะได้เอาเวลาไปทำสิ่งต่างๆ ได้เยอะขึ้น

    แต่จะทำยังไงให้พิมพ์เร็วได้ขึ้นละ ?

    “ตอบได้คำเดียวว่า ฝึกฝน”

    แนะนำ Web สำหรับเอาฝึกฝน monkeytype https://monkeytype.com/ เป็นเวบไซต์ ที่เอาไว้ฝึกฝน การพิมพ์ให้เร็วขึ้น

    การฝึกพิมพ์ให้เร็วขึ้นนั้นก็ถือเป็น Productivity Hard Skill ที่สามารถฝึกฝนได้และเห็นผลได้อย่างชัดเจน

    monkeytype.com — เป็นเว็บสำหรับฝึกพิมพ์ไวโดยเฉพาะ ข้อดีของมันก็คือ UI ดูสบายตา ใช้งานง่าย และมีโหมดที่ไว้สำหรับฝึกพิมพ์หลากหลาย เช่น พิมพ์แบบจำกัดเวลา (time mode) หรือแบบพิมพ์ตามจำนวนคำที่เราตั้งเอาไว้ (quota mode) เป็นต้น และยังสามารถ track คำที่เราพิมพ์ผิดบ่อยเพื่อฝึกเฉพาะคำนั้นได้ด้วย

    สามารถตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะพิมพ์ “ให้ได้สูงสุด กี่ words per minute (wpm)” ได้

    ทำยังไงให้พิมพ์เร็วได้ขึ้น

    ก่อนอื่นเลยครับ เลือกภาษาที่ต้องการฝึกก่อน จากนั้นก็มาที่ส่วนของการวางนิ้ว ต้องวางนิ้วให้ถูกตำแหน่งกันก่อน ถ้าสังเกตแป้นพิมพ์เกือบทุกแป้นดีๆ แล้วจะเห็นปุ่มเล็กๆ นูนตรงตัว F และ J ซึ่งนั่นก็คือตำแหน่งที่วางนิ้วชี้ทั้งสองนั่นเองครับ

    • โดยด้านซ้ายมือวางนิ้วชี้ -f นิ้วกลาง -d นิ้วนาง -s และนิ้วก้อย -a
    • ส่วนทางด้านขวามือนิ้วชี้ -j นิ้วกลาง -k นิ้วนาง -l และนิ้วก้อย-;
    • ส่วนนิ้วโป้งทั้งสองนั้นให้วางบน Spacebar ครับ

    สำหรับเทคนิคในช่วงแรกที่จะทำให้คุณพิมพ์ได้เร็วขึ้น ก็มีดังนี้ครับ

    1. ในการฝึกนั้นพยายามอย่ามองแป้นพิมพ์ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่ชิน แต่ถ้าฝึกบ่อยๆก็จะทำให้แม่นยำในการพิมพ์มากขึ้น จนไม่จำเป็นต้องมองแป้นพิมพ์อีกต่อไป และเมื่อแม่นยำมากขึ้นแล้วก็จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้นครับ
    2. ช้าๆ แต่แม่นยำดีกว่าเร็วแต่ผิด อันนี้เป็นสิ่งที่หลายๆคนพยายามที่จะทำในช่วงแรกโดยการพิมพ์เร็วๆแต่ไม่มีความแม่นยำจึงทำให้ผิดและก็ต้องมาเสียเวลากด Backspace ซึ่งเมื่อเทียบแล้วมันช้ากว่าพิมพ์ช้าๆแต่แม่นยำครับ
    3. นั่งตัวตรงและข้อศอกวางมุม 90 องศา ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมกับการพิมพ์เร็ว
    4. ปุ่ม shift ปุ่ม enter ปุ่ม backspace ใช้นิ้วก้อยกดเท่านั้น ปุ่ม shift กับ enter อาจจะไม่ยากเท่าไรนัก แต่ปุ่ม backspace นั้นยากเพราะอยู่ไกล พยายามฝึกบ่อยๆครับจะชินไปเอง
    5. พยายามวางตำแหน่งนิ้วที่ตำแหน่ง “asdf jkl;” ตลอดครับ

    เมื่อฝึกตามนี้แล้วประมาณ 2–3 สัปดาห์ก็จะทำให้การพิมพ์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรละ ว่าพิมพ์เร็วแค่ไหน ?

    ก่อนอื่นต้องรู้คำว่า “wpm” ว่าคืออะไรก่อน

    wpm ย่อมาจาก words per minute หรือ คำต่อนาที เป็นการวัดว่าในหนึ่งนาทีนั้นพิมพ์ได้กี่คำ

    เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ความเร็วประมาณ 70–90 wpm ก็ถือว่าเร็วแล้วครับ แต่ถ้าหากต้องการที่จะพิมพ์ให้เร็วกว่า 100 wpm คีย์บอร์ดก็มีส่วนครับ

    และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ครับ

  • Protected: Analyst’s Notebook data

    Protected: Analyst’s Notebook data

    This content is password-protected. To view it, please enter the password below.

  • นักสืบ กับ นักวิเคราะห์ข้อมูล

    นักสืบ กับ นักวิเคราะห์ข้อมูล

    จริง ๆ แล้ว Data Analyst ก็คือ นักสืบผู้ตามหา Insights ในข้อมูล มีหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล และนำผลลัพธ์ที่ได้มาจัดทำรายงานสรุป โดยแสดงผลในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าใจง่าย เช่น รูปแบบชาร์ต (Chart) หรือ แดชบอร์ด (Dashboard) เป็นต้น

    ทักษะที่สำคัญ คือ การใช้ซอฟต์แวร์ในการทำ Self-Service Analytic ได้เช่น Google Sheets, Excel, Power Query , Power BI, Tableau, ANB

    หน้าที่หลักของอาชีพ Data Analyst หรือ นักวิเคราะห์ข้อมูล คือ “เข้ามาทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ในองค์กร แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล (Insights) จากนั้นมานำเสนอในรูปแบบที่สามารถสื่อสารให้ผู้ฟัง / ผู้อ่านได้เข้าใจ”

    Data Analyst ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านไหน

    1) Analytical Thinking การคิดวิเคราะห์ ด้วยพื้นฐานสถิติ การคิดวิเคราะห์ที่ดี คือ การที่เราสามารถมองดูข้อมูล ทำความเข้าใจ และตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นในข้อมูลได้

    2) Spreadsheet & SQL โปรแกรมคู่ใจ สำหรับดึง + วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

    1. โปรแกรม Spreadsheet: Microsoft Excel & Google Sheets เครื่องมือยอดฮิตอันดับหนึ่ง คือ เครื่องมือสำหรับจัดการตารางข้อมูล (Spreadsheet) เช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheets ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ
    2. ภาษาสำหรับดึง & วิเคราะห์ข้อมูล: SQL หรือ Structured Query Language เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการดึงข้อมูลจาก Database หรือ Data Warehouse มาใช้งานต่อ Data Analyst กับความรู้ SQL ถือเป็นของคู่กัน

      3) Data Storytelling การนำเสนอข้อมูล การนำเสนอที่ดี และการเล่าเรื่องได้น่าสนใจ จะทำให้ผู้ฟังเข้าถึง Insights ที่ Data Analyst หามา ได้ดียิ่งขึ้นเทคนิคในการเล่าเรื่องจากข้อมูล หรือ Data Storytelling จึงเป็นเทคนิคที่คนเป็น Data Analyst ต้องฝึกฝน

      Data is a new oil

      “เมื่อข้อมูลมีค่าดังน้ำมัน”

      ลักษณะของข้อมูล

      มาทำความรู้จักรูปแบบของข้อมูล รูปแบบข้อมูลแบ่งออกได้ เป็น 3 รูปแบบ

      • ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured Data) เช่น ข้อมูลในตาราง

      • ข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อความ ภาพ
      • ข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Data) เช่น ไฟล์ JSON , ไฟล์ XML

      ความแตกต่างระหว่าง Structured Data และ Unstructured Data

      • Structured data แสดงในรูปแบบของแถวกับคอลัมน์ หรือ Relational Database ได้ แต่ Unstructured data จะไม่สามารถแสดงในรูปแบบแถวกับคอลัมน์ได้
      • Structured data มีข้อมูลประเภทตัวเลข (Numbers) วันที่ (Dates) หรือข้อความสั้น (Strings) แต่ Unstructured data เป็นข้อมูลรูปภาพ วิดีโอ ไฟล์ข้อความต่างๆ
      • Structured data มีประมาณ 20% ของข้อมูลในองค์กร แต่ Unstructured data มีประมาณ 80% ของข้อมูลในองค์กร
      • Structured data ใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลน้อยกว่า Unstructured data
      • Structured data สามารถจัดการได้ง่ายกว่า Unstructured data

      นอกจากนี้ แล้ว ในการวิเคราะห์ข้อมูล นักสืบ หรือนักวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง Data Types ว่ามีอะไรบ้าง

      Data Types

      • Numeric: 500, 25.5, 1002
      • String/Text: “Hello”, “Data Science”
      • Boolean: TRUE, FALSE
      • Date: 2024-01-15 (YYYY-MM-DD)
      • Geo (Location): Thailand, USA, Japan

      Level of Measurement

      • Nominal ข้อมูลที่แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ (category) เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ เพศ
      • Ordinal ข้อมูลที่เรียงลำดับได้ เช่น ความชอบ วุฒิการศึกษา
      • Interval ข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่สามารถบก ลบกันได้ เช่น อุณหภูมิ รายได้
      • Ratio ข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่สามารถบวก ลบ คุณ หาร กันได้ เช่น ยอดขาย ระยะทาง

      Data analytics

      • Dimension : category
        • Nomianl
        • Ordinal
      • Measures : number
        • Interval
        • Ration

      กระบวนการวิเคราะห์ นำกระบวนการ CRIST-DM มาใช้ ในการวิเคราะห์

      • Business Understanding ทำความเข้าใจปัญหา ระบุ output หรือเป้าหมายที่ต้องการได้จากการวิเคราะห์ ทำการศึกษากำหนดว่าเราจะทำโปรเจคเกี่ยวกับเรื่องอะไร
      • Data Understanding ทำความเข้าใจข้อมูล มีข้อมูลอะไรบ้างในการแก้ปัญหา และ ตรวจสอบข้อมูล
      • Data Preparation เตรียมข้อมูล การแก้ไขข้อมูล สร้างตัวแปรใหม่จากตัวแปรเดิม
        • Data Selection ทำการคัดเลือกข้อมูล กำหนดเป้าหมายก่อนว่าเราจะทำการวิเคราะห์อะไร , เลือกใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
        • Data Cleaning ทำการกลั่นกรองข้อมูล ลบข้อมูลซ้ำซ้อน แก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด
        • Data Transformation แปลงรูปแบบของข้อมูล เตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมนำไปใช้ในการวิเคราะห์
      • Modeling วิเคราะห์ข้อมูล
        • Classification สร้างโมเดล เพื่อทำนายอนาคต
        • Clustering แบ่งข้อมูลหลาย ๆ กลุ่มตามความคล้ายคลึง
        • Association Analysis หาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกิดร่วมกัน
      • Evaluation การวัดผล การประเมินผล
      • Deployment การวางแผนว่าจะเอาไปใช้งานอย่างไร

      Data storytelling

      Data storytelling เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรือกราฟให้เข้ากับการสื่อสารของมนุษย์เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยใช้เทคนิคทาง Data visualization เพื่อสื่อความหมายของข้อมูลเชิงลึกในลักษณะที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ

      การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลแบบหวังผล สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน

      1. การเข้าใจความสำคัญของบริบท (The Importance of Context) ในการทำ Data visualization เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบคำถาม “ใคร (Who)” และ “อะไร (What)” ให้ชัดเจนก่อนที่จะเริ่มสร้างการแสดงผลข้อมูล และต่อมาคือ การตอบคำถาม “วิธีการ” (How)
      2. การเลือกภาพที่หวังผลได้ มีประสิทธิภาพ (Choosing an Effective Visual) เพื่อการสื่อสารข้อมูลเป็นเรื่องท้าทาย
      3. การลดความยุ่งเหยิง (Clutter Is Your Enemy!) เป็นการลดปัญหาความซับซ้อนและรายละเอียดสิ่งที่ไม่จำเป็นในภาพ
      4. โฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชม (Focus Your Audience’s Attention) การโฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชมเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ
      5. การคิดอย่างนักออกแบบ (Think Like A Designer) เป็นการเทียบเคียงแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์มาใช้อธิบายสื่อสารข้อมูล โดยคุณลักษณะของงานออกแบบที่ดีมี 3 อย่างคือ การมีปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ใช้กับสินค้า, ทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้งานได้และสวยงามดูดี และเมื่อออกแบบ Data visualization ต้องคิดก่อนว่าต้องการให้ผู้ชมใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์อะไร
        • เทคนิค
          • ง่ายต่อการใช้งาน
          • ทุกคนใช้งานได้
          • สวยงามน่าใช้

      สรุปในยุค Digital Transformation นักสืบ หรือนักวิเคราะห์ข้อมูล จะต้องมีความรู้

      Knowledge Investigation

      • Domain Knowledge
      • Data for Investigation
      • Software for Investigation
      • Design for Analysis
      • Storytelling with Data

      Skill for Investigation Data analyst

      • Spreadsheets (Google Sheets / Excel)
      • Database (SQL)
      • Programming ( R & Python Programming)
      • i2 (ANB) and iBase
      • Dashboard (Power BI , Looker Studio, Tableau)
      • Storytelling with Data

      Reference – ขอบคุณข้อมูล และความรู้ดี ๆ จาก..อ.เอกสิทธิ์ฯ และ อ.ทอย

    1. Protected: Analyst’s Notebook หรือ โปรแกรม i2

      Protected: Analyst’s Notebook หรือ โปรแกรม i2

      This content is password-protected. To view it, please enter the password below.

    2. เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญของงาน

      เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญของงาน

      ในแต่ละวัน..
      เรามักจะหมดไปกับการทำงานที่แม้แต่เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจถึง

      “ขนาดความสำคัญของงานเท่าไหร่นัก”

      เพราะเราไม่เคยนั่งวิเคราะห์ประเภทงานที่รับผิดชอบอย่างจริงจัง แล้วส่วนใหญ่ก็คิดว่า “งานทุกงานก็สำคัญเท่ากันหมด” จนเราจะหัวหมุนกับตารางงานที่เต็มแน่น เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนบ้างไหม? การตัดสินใจว่าจะลงมือทำแต่ละงานเมื่อใด อย่างไร และกับใคร

      แต่…จริงๆ แล้ว ด้วย Framework นี้ เราสามารถแบ่งประเภทงานได้เป็น


      (1) สำคัญมาก และทำได้ง่าย : งานประเภทนี้ใช้ทักษะที่เราคุ้นเคยและชำนาญอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องใส่ใจและละเอียด รวมถึงต้องใช้เวลาอย่างเต็มที่ คำแนะนำคือ ”เลือกทำก่อน“

      (2) สำคัญมาก แต่ทำได้ยาก : งานลักษณะนี้ต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน มีการติดตามและการวางแผนที่เป็นระบบ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยทักษะและความร่วมมือของทีม ดังนั้นคำแนะนำก็คือ ”วางแผน และทำตามแผนงาน“ ที่สำคัญอย่าทำคนเดียว

      (3) สำคัญน้อย แต่ทำได้ง่าย : ถ้าเรามีงานลักษณะนี้อยู่ในมือ และมีมือใหม่ที่พร้อมช่วยเหลือ ไอเดียที่ดีก็คือ ”หาคนมาช่วยทำ ฝึกทักษะให้มือใหม่พัฒนา เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้ช่วยเหลืองานที่สำคัญมาก แต่ทำได้ยากได้

      (4) สำคัญน้อย และทำได้ยาก : งานประเภทนี้มักจะมาในรูปแบบของงานในฝัน ความคาดหวังว่าจะปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นนามธรรม จับต้องได้ยาก หากไม่สำเร็จก็ไม่ถึงกับ… สะดุด ดังนั้นถ้าเจองานแบบนี้ ใส่ไว้ในช่องทำทีหลังก่อนได้

      วางแผนให้ดี และใช้เวลาเพิ่มอีกนิด เราจะพบว่า

      “หลายงานไม่รีบ และไม่ด่วนเท่ากับที่คิดเลย”

      การจัดลำดับงานแบบนี้ จริง ๆ เรียกว่า Eisenhower Matrix

      Eisenhower Matrix คือ เทคนิคที่ตั้งชื่อตาม ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่พัฒนาวิธีการจัดการงานและเวลาขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถ 1) ประเมินความเร่งด่วนและความสำคัญของแต่ละงาน และ 2) ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการทำงานเหล่านั้นให้สำเร็จ

      ความแตกต่างระหว่างงานเร่งด่วนและงานสำคัญคือ งานเร่งด่วนมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการทำงานให้เสร็จสิ้น ในขณะที่ความสำคัญของงานขึ้นอยู่กับว่างานนั้นเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จมากน้อยเพียงใด

      งานเร่งด่วนต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด งานเหล่านี้อาจเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ให้ความสนใจทันทีหรือไม่ทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด ความล่าช้าของคุณอาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงการของคุณอย่างแน่นอน

      เราจะสร้าง Eisenhower Matrix ได้อย่างไร?

      การสร้าง Eisenhower Matrix ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่วาดตารางสองคูณสอง แกน X ใส่ “เร่งด่วน” และ “ไม่เร่งด่วน” และแกน Y ใส่ “สำคัญ” และ “ไม่สำคัญ” ตารางของคุณควรมีหน้าตาดังนี้:

      1. เร่งด่วน/สำคัญ (“ทำทันที”) : งานที่อยู่ในหมวดหมู่นี้เป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องดำเนินการโดย คุณ ทันที (หรือภายในกรอบเวลาที่กำหนด)

      2. เร่งด่วน/ไม่สำคัญ (“มอบหมาย”) : งานที่อยู่ในช่องนี้จำเป็นต้องถูกจัดการทันที แต่ไม่จำเป็นต้องให้คุณมีส่วนร่วมโดยตรง คุณสามารถมอบหมายงานประเภทนี้ให้คนอื่นไปจัดการแทนคุณได้

      3. ไม่เร่งด่วน/สำคัญ (“วางแผน”) : งานในลักษณะนี้ต้องดำเนินการอย่างใส่ใจ เนื่องจากมีความสำคัญต่อความก้าวหน้าของโครงการของคุณ อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้สามารถทำได้ในระยะยาว เนื่องจากไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่แน่นอน สามารถทำการวางแผนการจัดการได้

      4. ไม่เร่งด่วน/ไม่สำคัญ (“ลดการทำงาน หรือ ลบทิ้ง”) : คุณไม่จำเป็นต้องใส่งานเหล่านี้ในตารางงานของคุณ เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประสิทธิภาพการทำงาน และยังดึงสมาธิหรือความสนใจของคุณไปจากเป้าหมายรายวันหรือภาพรวมใหญ่อีกด้วย

      นำมาปรับใช้กับการจัดการเทคนิคการรู้และไม่รู้

      หากเรานำหลักการ Eisenhower Matrix มาจัดการกับกระบวนการในเรื่องความรู้ และความไม่รู้ ก็สามารถสร้างเทคนิคการรู้และไม่รู้ได้ดังนี้

      “Known Unknown”

      หลักคิดของ Known Unknowns (รู้-ไม่รู้) ที่สามารถบอกได้ว่า สิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้ล้วนอยู่ในส่วนหนึ่งส่วนใดใน 4 ช่องของภาพนี้ เป็นเรื่องของความตระหนักรู้และความเข้าใจ (Aware และ Understand) ที่แตกต่างและต้องเน้นย้ำว่าความตระหนักรู้และความเข้าใจนั้นสามารถแบ่งได้ทั้งหมดถึง 4 ประเภท

      1.Known Knowns สิ่งที่เรารู้แล้วว่า เรารู้ คือ สิ่งที่เรารับรู้แล้วว่าเป็นความจริง (Fact) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

      2.Known Unknowns เรารู้แล้วว่า เรายังไม่รู้อะไร คือ เราได้รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไร และที่เรายังไม่รู้ ยังเป็นคำถามที่เราต้องการหาคำตอบ  

      3.Unknown Knowns สิ่งที่เรารู้และเข้าใจแล้วแต่ยังไม่รู้ลงไปลึกๆ ว่ามันมีอะไรที่ยังซ่อนอยู่และเรายังไม่รู้อีกหรือไม่ คือ เป็นเรื่องที่คนเรารู้และเข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วยังไม่รู้ในรายละเอียดลึกๆ ว่ามีผลกระทบอะไร หรือมีประเด็นอะไรที่มากกว่านี้อีกไม่ กล่าวโดยสรุปได้ว่า ไม่รู้จักในสิ่งที่คิดว่ารู้แล้วอย่างแท้จริง

      4.Unknown Unknowns สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ในสิ่งนั้น เรียกได้ว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย เป็นจุดบอด (Blind Spot) 

      Known / Unknown

      สรุปรวม: เอามาสรุปรวมทั้งหมดให้อยู่ในภาพเดียวกัน ลองเราไปปรับใช้ในการทำงานของเรากันดูครับ เผื่อจะได้เกิดประโยชน์ในการทำงาน