Author: Agent_N

  • สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    สรุปย่อ หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza ประยุกต์กับงานตำรวจได้อย่างไร

    หนังสือ “The Brain Audit” โดย Sean D’Souza อธิบายจิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจของลูกค้า ว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อ (หรือไม่ซื้อ) โดยใช้แนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” บนสายพานลำเลียงในสมองของลูกค้า ลูกค้าจะยังไม่ตัดสินใจซื้อจนกว่าจะได้รับข้อมูลครบทั้ง 7 ใบนี้ตามลำดับที่ถูกต้อง

    กระเป๋าทั้ง 7 ใบประกอบด้วย: 1. ปัญหา (The Problem) 2. วิธีแก้ปัญหา (The Solution) 3. กลุ่มเป้าหมายที่เจาะจง (The Target Profile) 4. ตัวกระตุ้น (The Trigger) 5. ข้อโต้แย้ง (The Objections) 6. คำรับรองจากลูกค้า (The Testimonials) และ 7. การขจัดความเสี่ยง (Risk-Reversal)

    หนังสือเล่มนี้มอบโครงสร้างที่ชัดเจนในการสื่อสารการตลาด เพื่อสร้างความไว้วางใจ ลดความลังเล และป้องกันไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ทำให้คุณปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    กระเป๋า 7 ใบที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยตามลำดับ มีดังนี้ครับ

    1. The Problem (ปัญหา): นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุด สมองของมนุษย์ถูกสร้างมาให้สนใจ “ปัญหา” ก่อนสิ่งอื่นใด การสื่อสารของคุณจึงควรเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ เพื่อดึงความสนใจของพวกเขาทันที
    2. The Solution (ทางแก้): หลังจากที่คุณชี้ให้เห็นปัญหาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มมองหาทางออก “ทางแก้” ของคุณคือสิ่งที่มาช่วยคลายความกังวลนั้น มันควรจะเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาและเป็นเหมือนภาพสะท้อนของปัญหาที่กล่าวไปก่อนหน้า
    3. The Target Profile (กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน): แทนที่จะทำการตลาดกับ “กลุ่มคน” จำนวนมาก ให้คุณเลือกสื่อสารกับ “คนเพียงคนเดียว” ที่เป็นตัวแทนของลูกค้าในอุดมคติ การทำเช่นนี้จะทำให้ข้อความของคุณเจาะจงและทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันพูดถึงปัญหาและความต้องการของคนๆ นั้นโดยตรง
    4. The Objections (ข้อโต้แย้ง): ข้อโต้แย้งไม่ใช่สัญญาณของการปฏิเสธ แต่เป็นสัญญาณว่าลูกค้า “สนใจ” แต่ยังมีข้อกังวลอยู่ หน้าที่ของคุณคือการนำข้อโต้แย้งที่คาดว่าลูกค้าจะมีขึ้นมาพูดก่อน และอธิบายเพื่อทำลายข้อกังวลเหล่านั้นอย่างโปร่งใส
    5. The Testimonials (คำรับรองจากลูกค้า): คำรับรองคือเครื่องมือพิสูจน์ที่ทรงพลังจากบุคคลที่สาม หนังสือแนะนำให้ใช้ “Reverse Testimonial” ซึ่งเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความลังเลหรือข้อสงสัยของลูกค้าคนก่อนหน้า แล้วจึงตามด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่พวกเขาได้รับ วิธีนี้ทำให้คำรับรองดูน่าเชื่อถือและจริงใจยิ่งขึ้น
    6. The Risk Reversal (การขจัดความเสี่ยง): นี่คือการรับประกันที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยในการตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่แค่การคืนเงิน แต่ควรรวมถึงการขจัด “ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่” ที่ลูกค้าอาจนึกไม่ถึงด้วย การมีนโยบายที่ชัดเจนจะแสดงให้เห็นว่าคุณมั่นใจในสินค้าและบริการของคุณมากเพียงใด
    7. The Uniqueness (ความมีเอกลักษณ์): สุดท้าย ลูกค้าต้องรู้ว่า “ทำไมต้องซื้อจากคุณ” ไม่ใช่คู่แข่ง ความมีเอกลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ค้นหา” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “สร้างขึ้น” โดยเลือกจุดเด่นเพียง “หนึ่งเดียว” แล้วสร้างธุรกิจทั้งหมดของคุณรอบๆ จุดเด่นนั้น

    โดยสรุป The Brain Audit คือกระบวนการสื่อสารที่เป็นระบบและเป็นไปตามลำดับขั้นการทำงานของสมอง เพื่อนำลูกค้าเดินทางตั้งแต่การรับรู้ปัญหาไปจนถึงการตัดสินใจซื้ออย่างมั่นใจและปราศจากความลังเลครับ

    แล้วจะปรับใช้งานกับงานตำรวจได้อย่างไร

    เราสามารถนำแนวคิด “กระเป๋า 7 ใบ” จาก The Brain Audit มาประยุกต์ใช้กับอาชีพตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนเป้าหมายจาก “การขายสินค้า” เป็น “การสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือจากประชาชน” แทนครับ

    เป้าหมาย: สร้างความร่วมมือจากประชาชนในโครงการ “ชุมชนปลอดภัย”

    กระเป๋าใบที่ 1: ปัญหา (The Problem)

    • แนวคิด: เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ประชาชนรู้สึกกังวลและเดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่พูดภาพกว้างๆ
    • การประยุกต์ใช้: แทนที่จะบอกว่า “เราจะมาปราบปรามอาชญากรรม” ให้เจาะจงไปที่ปัญหาที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่จริงๆ
    • ตัวอย่าง: ในการประชุมกับชาวบ้าน อาจจะเริ่มต้นว่า “หลายท่านในที่นี้คงกังวลกับปัญหาแก๊งวัยรุ่นที่รวมตัวส่งเสียงดังและสร้างความเดือดร้อนในสวนสาธารณะตอนกลางคืนใช่ไหมครับ?” การพูดแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของคนที่ประสบปัญหานี้โดยตรงได้ทันที

    กระเป๋าใบที่ 2: วิธีแก้ปัญหา (The Solution)

    • แนวคิด: เสนอทางออกที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย เป็นเหมือนด้านตรงข้ามของปัญหา
    • การประยุกต์ใช้: บอกให้ชัดเจนว่าตำรวจจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้น ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน
    • ตัวอย่าง: “เรามีแผนที่จะเพิ่มสายตรวจเดินเท้าเข้ามาในสวนสาธารณะทุกคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เพื่อแก้ปัญหานี้ครับ”

    กระเป๋าใบที่ 3: กลุ่มเป้าหมาย (The Target Profile)

    • แนวคิด: สื่อสารราวกับกำลังพูดกับ “คนคนเดียว” ที่มีปัญหานั้นจริงๆ ไม่ใช่พูดกับคนหมู่มาก
    • การประยุกต์ใช้: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี
    • ตัวอย่าง: “เราเข้าใจดีว่าสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ หรือผู้สูงอายุที่ต้องการพักผ่อน เสียงดังในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง”

    กระเป๋าใบที่ 4: ตัวกระตุ้น (The Trigger)

    • แนวคิด: รวมเอา “กลุ่มเป้าหมาย + ปัญหา + วิธีแก้ปัญหา” มาสร้างเป็นประโยคที่กระตุ้นความสนใจ
    • การประยุกต์ใช้: ใช้เป็นหัวข้อในการประชาสัมพันธ์โครงการหรือการประชุม
    • ตัวอย่าง: “สำหรับครอบครัวในชุมชนที่เดือดร้อนจากปัญหาวัยรุ่นเสียงดัง: ตำรวจเตรียมส่งสายตรวจเดินเท้าเข้าดูแลสวนสาธารณะทุกคืนเพื่อคืนความสงบสุขให้ท่าน”

    กระเป๋าใบที่ 5: ข้อโต้แย้ง (The Objections)

    • แนวคิด: นำข้อกังขาหรือความไม่เชื่อมั่นของประชาชนขึ้นมาพูดก่อน เพื่อแสดงความเข้าใจและสร้างความน่าเชื่อถือ
    • การประยุกต์ใช้: ตำรวจต้องยอมรับและชิงพูดถึงข้อกังวลที่ประชาชนมักจะมีต่อการทำงานของตำรวจ
    • ตัวอย่าง: “หลายท่านอาจจะคิดว่า ‘เดี๋ยวตำรวจก็มาแค่ช่วงแรกๆ แล้วก็หายไป’ เราเข้าใจดีครับ นั่นคือเหตุผลที่เราจะมีการตั้งตู้แดงและให้ประชาชนร่วมลงชื่อการตรวจทุกคืน เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าเราจะทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง”

    กระเป๋าใบที่ 6: คำรับรอง (The Testimonials)

    • แนวคิด: ใช้เสียงจากบุคคลที่สาม หรือเรื่องราวความสำเร็จ มายืนยันว่าวิธีนี้ได้ผลจริง
    • การประยุกต์ใช้: ยกตัวอย่างความสำเร็จจากชุมชนอื่นที่เคยมีปัญหาคล้ายกัน
    • ตัวอย่าง: “ในชุมชนข้างเคียงที่เคยมีปัญหาแบบเดียวกัน หลังจากเราใช้มาตรการนี้เป็นเวลา 1 เดือน ปัญหาลดลงกว่า 90% ซึ่งได้รับการยืนยันจากประธานชุมชนที่นั่นครับ”

    กระเป๋าใบที่ 7: การขจัดความเสี่ยง (Risk Reversal)

    • แนวคิด: ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการให้ความร่วมมือกับตำรวจนั้น “ไม่มีความเสี่ยง” สำหรับพวกเขา
    • การประยุกต์ใช้: สร้างหลักประกันความปลอดภัยและความสะดวกใจให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือให้ความร่วมมือ
    • ตัวอย่าง: “สำหรับการแจ้งเบาะแสเพิ่มเติม เรามีช่องทางสายตรงที่ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้แจ้ง และข้อมูลของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับสูงสุด เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”

    👉การนำแนวคิดนี้มาใช้ จะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของตำรวจจาก “การสั่งการ” ให้กลายเป็น “การสร้างบทสนทนา” ที่เข้าถึงและเข้าใจประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความไว้วางใจและความร่วมมือในระยะยาว ครับ 😂

  • การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix)

    วิธีการแบ่งงานออกเป็น 4 ด้าน (Matrix: Importance vs. Effort)

    แนวคิดนี้ใช้หลักการ การจัดลำดับงาน (Prioritization Matrix) โดยการพิจารณา 2 ปัจจัยหลักคือ:

    • แกนแนวตั้ง : ความสำคัญของงาน (สำคัญมาก ↔ สำคัญน้อย)
    • แกนแนวนอน : ความยากหรือง่ายในการทำงาน (ทำง่าย ↔ ทำยาก)

    เมื่อจัดลงไปในตาราง 2×2 เราจะได้งาน 4 ประเภทที่สามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะโฟกัสอะไร ควรเลื่อนอะไรออกไป และควรหาความช่วยเหลือในงานไหน

    (1) งานสำคัญมาก / ทำได้ง่ายเลือกทำก่อน (Quick Wins)

    • ลักษณะงาน: งานที่สร้างคุณค่าได้มากต่อเป้าหมาย แต่ไม่ซับซ้อน ทำเสร็จได้เร็ว
    • เหตุผลที่ต้องทำก่อน: เพราะงานประเภทนี้สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยไม่เปลืองแรง
    • ตัวอย่าง: การโทรติดต่อลูกค้ารายใหญ่, การส่งอีเมลรายงานที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว, การประชุมสั้นที่ตัดสินใจได้เร็ว
    • กลยุทธ์: ประเมินงานในแต่ละวัน เลือกสิ่งที่ทั้ง “สำคัญ” และ “ง่าย” มาทำทันที เพื่อปลดล็อกความคืบหน้าเร็วที่สุด

    (2) งานสำคัญน้อย / ทำง่ายทำเมื่อมีเวลา (Fill-ins)

    • ลักษณะงาน: งานทั่วไป งานซ้ำๆ ที่ไม่ได้มีผลกระทบมากต่อเป้าหมายใหญ่ แต่จำเป็นต้องมีคนทำ
    • ช่วงเวลาที่ควรทำ: ทำในเวลาที่พลังงานลดลง เช่น บ่ายแก่ๆ หรือระหว่างรอการประชุม
    • ตัวอย่าง: การเคลียร์อีเมลทั่วไป, กรอกแบบฟอร์ม, จัดโต๊ะทำงาน, การแก้ไขเล็กน้อยในเอกสาร
    • กลยุทธ์: อย่าเอางานกลุ่มนี้ขึ้นมาแซงงานสำคัญ แต่ให้เก็บไว้จัดการช่วงที่ไม่สามารถโฟกัสงานใหญ่ได้

    (3) งานสำคัญน้อย / ทำยากเลื่อนหรือมอบหมาย (Avoid/Delegate)

    • ลักษณะงาน: งานที่ไม่สำคัญกับเป้าหมายใหญ่ แถมยังใช้พลังงานเยอะและเราอาจไม่ถนัด
    • ปัญหาที่เจอ: ทำเองเสียเวลา เสียพลัง โดยที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์คุ้มค่า
    • วิธีรับมือ:
      • เลื่อนออกไป หากไม่เร่งด่วน
      • หาตัวช่วย เช่น ให้ทีมงานที่ถนัดกว่ารับไปทำ
    • ตัวอย่าง: การทำสไลด์ออกแบบซับซ้อน, การตกแต่งเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงลึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลัก
    • กลยุทธ์: ตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่ทำเลย จะมีผลเสียจริงๆ หรือไม่” ถ้าไม่ → ลดความสำคัญลง หรือโอนงานให้คนอื่น

    (4) งานสำคัญมาก / ทำยากจัดการอย่างเป็นระบบ (Major Projects)

    • ลักษณะงาน: งานที่มีผลกระทบสูงและซับซ้อน ต้องใช้เวลาและพลังงานจำนวนมาก
    • สิ่งที่ต้องระวัง: ไม่สามารถทำให้เสร็จในครั้งเดียว ต้องวางแผน แบ่งย่อย และอาจต้องทำงานเป็นทีม
    • ตัวอย่าง: การวางกลยุทธ์องค์กร, การเขียนรายงานสืบสวนเชิงลึก, การวางระบบใหม่, การทำโครงการใหญ่
    • กลยุทธ์:
      • วางแผนระยะยาว แบ่งเป็น Milestone ย่อยๆ
      • กำหนด Deadline และจัดเวลาแบบ Block Time
      • ประสานทีมงานและสร้างความต่อเนื่อง

    วิธีใช้ Matrix นี้ในชีวิตจริง

    1. ลิสต์งานทั้งหมดออกมา → เขียนสิ่งที่ต้องทำ
    2. ประเมินความสำคัญ → งานนี้มีผลกับเป้าหมายหลักแค่ไหน
    3. ประเมินความยาก/ง่าย → ต้องใช้เวลา/ความพยายามมากน้อยเพียงใด
    4. จัดใส่ใน Matrix → เลือกว่าจะทำทันที, ทำเมื่อมีเวลา, มอบหมาย, หรือวางแผนใหญ่
    5. โฟกัสงานกลุ่ม (1) ก่อนเสมอ → เพื่อสร้าง Momentum

    สรุป

    การแบ่งงานออกเป็น 4 ด้านตามแกน ความสำคัญ และ ความยากง่าย ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดชัดเจนขึ้น เราจะรู้ว่า งานไหนควรโฟกัส, งานไหนควรเลื่อน, งานไหนควรให้คนอื่นทำ, และงานไหนต้องวางแผนจริงจัง การใช้วิธีนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เรามีวินัย จัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเวลาและพลังงานของเรา

  • แนวคิดในการออกแบบ Prompt ที่มีประสิทธิภาพ หรือ “Design prompts that work”

    แนวคิดในการออกแบบ Prompt ที่มีประสิทธิภาพ หรือ “Design prompts that work”

    Prompt Engineering คือกระบวนการสร้างและปรับแต่งคำสั่ง (prompt) ที่เฉพาะเจาะจงและละเอียด เพื่อให้ได้การตอบสนองที่ต้องการจากโมเดล AI เชิงสร้างสรรค์. กระบวนการนี้มักถูกเปรียบกับการ “เขียนโค้ดด้วยภาษาอังกฤษ” ซึ่งบ่งชี้ถึงความซับซ้อนและความละเอียดอ่อนที่จำเป็นในการสื่อสารกับปัญญาประดิษฐ์ การทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญในทักษะนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดึงศักยภาพสูงสุดจาก AI ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    “Design prompts that work”

    สรุปเป็นขั้นตอน 5 ขั้นตอนดังนี้ครับ

    1. Task (ภารกิจ)

    ขั้นตอนนี้คือการกำหนด ภารกิจหลัก ที่คุณต้องการให้ AI ทำอย่างชัดเจนที่สุด คุณต้องบอก AI ว่าคุณต้องการอะไร และต้องการให้มันแสดงออกมาในรูปแบบไหน

    • อธิบายอย่างชัดเจน: ระบุว่าคุณต้องการให้เครื่องมือ AI สร้างอะไร
    • กำหนด Persona: ให้ AI สวมบทบาทเป็นใคร เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด, นักเขียนเชิงสร้างสรรค์, หรือที่ปรึกษาด้านการเงิน การกำหนดบุคลิกนี้จะช่วยให้ AI สร้างคำตอบที่เหมาะสมกับบริบทมากขึ้น
    • ระบุ Format: บอกรูปแบบของผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น บทความ, อีเมล, รายชื่อ, ตาราง หรือแม้กระทั่งบทกวี

    ตัวอย่าง: “เขียนอีเมลในฐานะผู้จัดการฝ่ายการตลาด เพื่อแจ้งลูกค้าถึงโปรโมชันใหม่ โดยใช้ภาษาที่กระชับและเป็นกันเอง”

    2. Context (บริบท)

    บริบทคือข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อให้ AI เข้าใจและทำงานได้อย่างถูกต้องและตรงตามความต้องการของคุณ

    • ให้รายละเอียดที่จำเป็น: ระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กลุ่มเป้าหมาย, จุดประสงค์, ข้อมูลพื้นฐานของเรื่องที่ต้องการ, หรือข้อจำกัดต่างๆ
    • สร้างความเข้าใจ: ช่วยให้ AI เข้าใจว่าคุณต้องการให้มันทำอะไรในเชิงลึกมากขึ้น

    ตัวอย่าง: “โปรโมชันใหม่นี้สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าเกิน 1,000 บาท ภายในสิ้นเดือนนี้เท่านั้น” (ข้อมูลนี้จะช่วยให้ AI ไม่ส่งอีเมลหาลูกค้าที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย)

    3. References (ข้อมูลอ้างอิง)

    หากคุณมีตัวอย่างหรือข้อมูลอ้างอิงที่ต้องการให้ AI นำมาใช้ประกอบการสร้างผลงาน ให้ระบุในขั้นตอนนี้

    • ให้ตัวอย่าง: มอบตัวอย่างรูปแบบประโยค, สไตล์การเขียน, หรือโครงสร้างที่คุณชื่นชอบ
    • ช่วย AI ในการเรียนรู้: การให้ข้อมูลอ้างอิงจะช่วยให้ AI สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีสไตล์หรือโทนเสียงที่ใกล้เคียงกับที่คุณต้องการได้

    ตัวอย่าง: “ให้ใช้ภาษาที่มีลักษณะคล้ายกับตัวอย่างบทความนี้: [แนบลิงก์หรือข้อความตัวอย่าง]”

    4. Evaluate (ประเมินผล)

    หลังจากที่ AI สร้างผลลัพธ์ออกมาแล้ว คุณต้องทำการประเมินว่าผลลัพธ์นั้นมีประโยชน์และตรงตามความต้องการของคุณหรือไม่

    • ประเมินผลลัพธ์: ตรวจสอบความถูกต้อง, ความครบถ้วน, และคุณภาพของผลลัพธ์ที่ได้จาก AI
    • ตัดสินว่ามีประโยชน์หรือไม่: พิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำไปใช้งานได้จริงตามวัตถุประสงค์ของคุณหรือไม่

    ตัวอย่าง: “ผลลัพธ์ที่ได้ตรงตามที่ต้องการหรือไม่? ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหรือยัง?”

    5. Iterate (ปรับปรุง)

    หากผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินยังไม่เป็นที่พอใจ คุณต้องกลับไปแก้ไข Prompt และให้ AI ลองสร้างผลลัพธ์ใหม่อีกครั้ง

    • ปรับแต่ง Prompt: ระบุส่วนที่ต้องการแก้ไขหรือทำให้ชัดเจนขึ้นใน Prompt เดิมของคุณ
    • ทำซ้ำจนกว่าจะพอใจ: ทำตามวงจรนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    ตัวอย่าง: “ช่วยแก้ไขส่วนท้ายของอีเมลให้สั้นลงและเพิ่มปุ่ม Call to Action ที่ชัดเจนขึ้น”

    ตารางกรอบแนวคิด TCREI

    โดยสรุปแล้ว หลักการที่ใช้ในการจดจำ 5 ขั้นตอนข้างต้นคือ Thoughtfully Create Really Excellent Inputs หรือ TCREI ซึ่งย่อมาจาก Task, Context, References, Evaluate, และ Iterate นั่นเองครับ


    ตัวอย่าง TCREI

    👉การสืบสวนธุรกรรมคริปโต

    Task: ทำหน้าที่เป็นนักสืบสอบสวนด้านอาชญากรรมไซเบอร์ สร้างขั้นตอนติดตามธุรกรรม Bitcoin ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีต้องสงสัย พร้อมวิเคราะห์ความเสี่ยงทางกฎหมาย

    Context: คดีเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินผ่านตลาดมืด ใช้ข้อมูลจาก Blockchain Explorer (เช่น Blockchair, Mempool.space) ต้องจัดทำรายงานให้พนักงานสอบสวนเข้าใจได้ใน 15 นาที

    References: แนบตัวอย่างรายงานการติดตามธุรกรรมจากคดีเก่า พร้อมรูปแบบตารางที่ใช้สรุป (Transaction ID, Time, Amount, Link)

    Evaluate: ตรวจความครบถ้วนของการระบุเส้นทางการโอน (อย่างน้อย 3 hop), ความถูกต้องของเวลา/จำนวน, การอ้างอิงแหล่งข้อมูล

    Iterate: หากไม่ครบข้อมูล ให้ถามกลับเฉพาะจุดที่ขาด เช่น รายละเอียดวอลเล็ตหรือช่วงเวลาของธุรกรรม


    👉การวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมพื้นที่

    Task: ทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ข้อมูล สร้าง Heatmap การเกิดคดีลักทรัพย์ในเขตเมืองจากข้อมูลตำรวจ

    Context: ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน มีพิกัด GPS ของจุดเกิดเหตุ ต้องเน้นช่วงเวลาที่คดีเพิ่มสูงผิดปกติ เพื่อใช้วางกำลังสายตรวจ

    References: แนบตัวอย่าง Heatmap และตารางสรุปที่เคยใช้ในโครงการวิเคราะห์คดีชิงทรัพย์

    Evaluate: ตรวจว่าผลลัพธ์มีการไฮไลต์ช่วงเวลาความเสี่ยงสูง และใช้สเกลสีที่เข้าใจง่าย

    Iterate: หากยังไม่ชัดเจน ให้ปรับการแสดงผลเป็น Time-series + Heatmap ควบคู่กัน

    😊 คิดว่าน่าจะมีประโยชน์นะครับ ของดีจาก Google : พัฒนาโดยผู้เชียวชาญด้าน AI ของ Google ผ่านหลักสูตร “Prompting Essentials”

  • หลักการพื้นฐานของ Prompt ใน Generative AI  เบื้องต้น : part 1

    หลักการพื้นฐานของ Prompt ใน Generative AI เบื้องต้น : part 1

    คำว่า “Prompt” และความสำคัญของมันในบริบทของ “บทนำ” สามารถอธิบายได้ดังนี้:

    1. คำนิยามของ “Prompt”

    • Prompt คืออินพุตที่ให้กับโมเดล Generative AI (GenAI) เพื่อชี้นำผลลัพธ์ของมัน
    • Prompt สามารถประกอบด้วย ข้อความ, รูปภาพ, เสียง หรือสื่อรูปแบบอื่น ๆ
    • แม้ว่า Prompt มักจะมีส่วนประกอบที่เป็นข้อความ แต่สิ่งนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อรูปแบบที่ไม่ใช่ข้อความกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
    • ตัวอย่างของ Prompt ได้แก่:
      • ข้อความ เช่น “เขียนบทกวีเกี่ยวกับต้นไม้” หรือ “เขียนอีเมลสามย่อหน้าสำหรับแคมเปญการตลาดของบริษัทบัญชี”
      • รูปภาพ เช่น ภาพถ่ายกระดาษที่เขียนว่า “10*179 คืออะไร”
      • การบันทึกเสียง เช่น การบันทึกการประชุมออนไลน์พร้อมคำสั่ง “สรุปสิ่งนี้”
    • ในอดีต บางงานวิจัยเคยพิจารณาเฉพาะส่วนหนึ่งของอินพุตเป็น Prompt (เช่น คำว่า “llama” ใน “Translate English to French: llama”) และเรียกส่วนอื่นว่า “คำอธิบายงาน” แต่ปัจจุบัน เอกสารฉบับนี้และงานวิจัยล่าสุดอื่น ๆ อ้างถึงสตริงทั้งหมดที่ส่งไปยัง LLM ว่าเป็น Prompt

    2. ความสำคัญของ Prompt

    • การมีความรู้เกี่ยวกับวิธีสร้างสรรค์, ประเมิน และทำงานอื่น ๆ กับ Prompt ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้งานโมเดล GenAI
    • โดยประสบการณ์พบว่า Prompt ที่ดีขึ้นนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในงานที่หลากหลาย
    • ความสามารถในการส่ง Prompt ไปยังโมเดล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่ง Prompt ด้วยภาษามนุษย์ ทำให้โมเดลเหล่านี้โต้ตอบและใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นในกรณีการใช้งานที่หลากหลาย
    • อย่างไรก็ตาม การใช้ Prompt ยังคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ดีนัก และมีเพียงส่วนน้อยของคำศัพท์และเทคนิคที่มีอยู่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน

    3. Prompt Template (เทมเพลต Prompt)

    • Prompt มักถูกสร้างขึ้นผ่าน Prompt Template (เทมเพลต Prompt)
    • Prompt Template คือฟังก์ชันที่มีตัวแปรหนึ่งตัวหรือมากกว่า ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยสื่อบางอย่าง (โดยปกติคือข้อความ) เพื่อสร้าง Prompt
    • จากนั้น Prompt ที่ได้สามารถถือเป็นอินสแตนซ์ของเทมเพลตได้
    • ตัวอย่างเช่น สำหรับงานจำแนกทวีตแบบไบนารี Prompt Template อาจเป็น: “Classify the tweet as positive or negative: {TWEET}” โดยแต่ละทวีตในชุดข้อมูลจะถูกแทรกลงในอินสแตนซ์แยกต่างหากของเทมเพลต เพื่อสร้าง Prompt ให้กับ LLM

    4. ส่วนประกอบของ Prompt: Prompt มีส่วนประกอบทั่วไปหลายอย่างที่มักจะรวมอยู่ด้วย:

    • Directive (คำสั่ง): เป็นเจตนาหลักของ Prompt มักอยู่ในรูปของคำแนะนำหรือคำถาม (เช่น “Tell me five good books to read.”) อาจเป็นคำสั่งที่ซ่อนอยู่ก็ได้ เช่น ในกรณีของ One-Shot ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลภาษาอังกฤษเป็นสเปน
    • Examples (ตัวอย่าง): หรือที่เรียกว่า exemplars หรือ shots ทำหน้าที่เป็นตัวสาธิตเพื่อนำทาง GenAI ในการทำงานให้สำเร็จ
    • Output Formatting (การจัดรูปแบบผลลัพธ์): เป็นสิ่งที่ต้องการให้ GenAI แสดงข้อมูลในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น CSV, Markdown, XML หรือแม้แต่รูปแบบที่กำหนดเอง
    • Style Instructions (คำแนะนำด้านสไตล์): เป็นประเภทของการจัดรูปแบบผลลัพธ์ที่ใช้เพื่อปรับเปลี่ยนสไตล์แทนที่จะเป็นโครงสร้าง (เช่น “Write a clear and curt paragraph about llamas.”)
    • Role (บทบาท): หรือที่เรียกว่า persona เป็นส่วนประกอบที่มักกล่าวถึงและสามารถปรับปรุงการเขียนและสไตล์ข้อความได้ (เช่น “Pretend you are a shepherd and write a limerick about llamas.”)
    • Additional Information (ข้อมูลเพิ่มเติม): มักจำเป็นต้องรวมข้อมูลเพิ่มเติมใน Prompt (เช่น ชื่อและตำแหน่งในกรณีของการเขียนอีเมล) บางครั้งเรียกว่า ‘context’ แต่เอกสารนี้ไม่แนะนำเนื่องจากมีความหมายที่ซ้อนทับกัน

    5. ความท้าทายด้านคำศัพท์

    • คำศัพท์ในวงการ Prompt กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
    • มีคำนิยามที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจดี (เช่น prompt, prompt engineering) และคำนิยามที่ขัดแย้งกัน (เช่น role prompt vs persona prompt)
    • การขาดคำศัพท์ที่สอดคล้องกันขัดขวางความสามารถของชุมชนในการอธิบายเทคนิคการ Prompt ต่างๆ ที่ใช้อยู่ได้อย่างชัดเจน
    • เอกสารนี้พยายามให้คำศัพท์ที่แข็งแกร่งซึ่งครอบคลุมคำที่ใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่ในสาขานี้

    6. ประวัติโดยย่อของ Prompts

    • แนวคิดของการใช้ Natural Language Prefixes หรือ Prompts เพื่อดึงพฤติกรรมและการตอบสนองของโมเดลภาษา มีมาก่อนยุค GPT-3 และ ChatGPT
    • GPT-2 ใช้ Prompt และมีการกล่าวถึงการใช้ครั้งแรกในบริบทของ Generative AI โดย Fan et al. (2018)
    • อย่างไรก็ตาม แนวคิดของ Prompt มีมาก่อนโดยแนวคิดที่เกี่ยวข้อง เช่น Control Codes (Pfaff, 1979; Poplack, 1980; Keskar et al., 2019) และ Prompt การเขียนในวรรณคดี
    • คำว่า Prompt Engineering ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้จาก Radford et al. (2021) และต่อมาเล็กน้อยจาก Reynolds and McDonell (2021)

    โดยสรุป "Prompt" เป็นอินพุตสำคัญที่ใช้ชี้นำ GenAI โดยอาจมีหลายรูปแบบและส่วนประกอบ และการทำความเข้าใจและใช้ Prompt อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นในยุคของ AI ในขณะที่สาขาวิชานี้กำลังพัฒนาและคำศัพท์ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่

  • บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    บทสรุปสาระสำคัญจากการบรรยาย “Generalism Art of Living: How Should We Suppose to Work and Live in the Future”

    วิทยากร: แอดทอย แห่ง DataRockie
    งาน: CTC2025


    แนวคิดหลักของการบรรยายนำเสนอ “The Art of Living – Generalism 101” ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายผ่านการเป็น “เป็ดโปร” (Generalist) ผู้มีความสามารถหลากหลายและยึดมั่นในคุณธรรมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าแนวทางของ Generalism คือเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีขึ้น


    บทที่ 1: ชีวิตนั้นเปราะบาง (Life is Fragile)

    • ชีวิตมนุษย์มีความเปราะบางสูง เราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดและตระหนักว่าเวลาของคนรอบข้างก็มีจำกัดเช่นกัน
    • โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าที่สุดของชีวิต คือการมีอายุยืนยาวแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับไม่พบว่าตนเองได้สร้างสรรค์สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ทิ้งไว้
    • ตามแนวคิดของ Generalist และปรัชญาสโตอิก (Stoic) ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรตระหนักและเกรงกลัวมากกว่าคือการไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
    • เราจึงควรตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า “เราควรใช้ชีวิตแบบไหน” และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เสมือนว่าเป็นวันสุดท้าย

    บทที่ 2: เวลานั้นมีค่า (Time is Precious)

    • เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเราทุกคนมีเวลาจำกัดและไม่สามารถย้อนกลับได้ (Irreversible)
    • ควรจัดสรรเวลาให้แก่บุคคลที่สำคัญและเป็นที่รัก แทนที่จะทุ่มเทให้กับการทำงานเพียงอย่างเดียว
    • ความมั่งคั่งที่แท้จริง (True Wealth) ประกอบด้วย 5 มิติ ซึ่งต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน:

      True Wealth = Time × Social (Family) × Mental × Health × Money

      (ความมั่งคั่งที่แท้จริง = เวลา × ความสัมพันธ์ทางสังคม × สุขภาพจิต × สุขภาพกาย × เงิน)

      หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีค่าเป็นศูนย์ สมการทั้งหมดจะพังทลาย การมีเงินแต่ไม่มีสุขภาพหรือเวลา จึงไม่มีความหมาย
    • บุคคลจะตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ดังนั้น เมื่อต้องการทำสิ่งใด ควรลงมือทำทันที

    บทที่ 3: คุณธรรมคือสิ่งสูงสุด (The Highest Good)

    • คุณธรรม หรือความดี (Virtue) คือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เหนือกว่าเงินทองและชื่อเสียง
    • ตามหลักปรัชญาสโตอิก ความสุขและอิสรภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความดี
    • สังคมปัจจุบันมักให้คุณค่ากับเงินทองมากกว่าความเป็นมนุษย์ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตในเส้นทางใด
    • ควรเริ่มต้นจากการเลือกเป็นคนดีและกระทำในสิ่งที่ดี แล้วสิ่งอื่นๆ ที่ดีจะตามมาเอง

    บทที่ 4: คู่มือชีวิตที่ขาดหายไป (A Life’s Missing Manual)

    • เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือ Eudaimonia หรือการเป็นมนุษย์ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตนเอง (Human Flourishing)
    • หลักการสามเหลี่ยมของสโตอิก (Stoic Triangle) ประกอบด้วย:
      1. Arete (Live with Excellence): การยึดมั่นในคุณงามความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด
      2. Focus on what you can control: การมุ่งความสนใจไปที่ความคิดและการกระทำของตนเอง
      3. Take Responsibility: การรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
    • หลักการสำคัญ 4 ประการของปรัชญาสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนเพื่อสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีได้:
      1. Wisdom (ปัญญา): ความรู้ความเข้าใจโลก และการรู้ถึงผลลัพธ์ระยะยาวของการกระทำ
      2. Courage (ความกล้าหาญ): ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
      3. Justice (ความยุติธรรม): ความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อส่วนรวม
      4. Discipline (วินัย): การควบคุมตนเอง รู้จักพอ และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ
    • เป้าหมายของ Eudaimonia คือการสร้างตนเองให้มีคุณค่ามากที่สุด ผ่านการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในทุกวัน โดยทักษะสำคัญคือการเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ (Perpetual Learner)

    บทที่ 5: อิสรภาพแห่งความเป็นเลิศ (Freedom of Excellence)

    • อิสรภาพที่แท้จริงไม่ใช่การทำได้ทุกสิ่ง แต่คือการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญและไม่ทำลายอิสรภาพของตนเองในระยะยาว
    • ควรสร้าง “กรอบ” ในการใช้ชีวิต โดยเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ “ทำได้” (Can Do) ไปสู่สิ่งที่ “ควรทำ” (Should Do)
    • อิสรภาพที่แท้จริงเกิดจากการมีข้อจำกัดที่เหมาะสม และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลสามารถควบคุมและปกครองตนเองได้

    Freedom of Excellence:

    Freedom of Excellence จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อจำกัดในชีวิตบางอย่าง หากเราอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น เราจะเลือกทำอะไรตามใจไม่ได้ เราต้องปฏิเสธสิ่งที่ให้ความสุขชั่วคราว เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าระยะยาว

    นี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างปรัชญา Generalist กับ Stoicism – อิสรภาพที่เกิดจากข้อจำกัดและการสร้างวินัยในการใช้ชีวิต

    ECS Framework สำหรับการพัฒนาตัวเอง:

    E – Energy (พลังงาน): การมีพลังงานที่เพียงพอในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่

    C – Confidence (ความมั่นใจ): ความเชื่อมั่นในตนเองที่เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์

    S – Skill (ทักษะ): ความสามารถเฉพาะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน

    การพัฒนาทั้งสามด้านนี้อย่างสมดุลจะนำไปสู่ “Doable Greatness” หรือความยิ่งใหญ่ที่ทำได้จริง


    บทที่ 6: ใช้ชีวิตด้วยความกล้าหาญ (Live with Courage)

    • ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณธรรมข้ออื่นๆ ของสโตอิก
    • ความกลัวที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปัจจัยภายนอก แต่เป็นความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะรับมือกับสิ่งนั้น
    • ความกล้าหาญคือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดี คือการกล้าที่จะแสวงหาความรู้, กล้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และกล้าที่จะมีวินัยกับตนเอง

    คำถามสำคัญ:

    • หากเราไม่มีความกลัว เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
    • เรากลัววิกฤตเศรษฐกิจ หรือกลัวว่าเราไม่เก่งพอที่จะรับมือ?

    บทที่ 7: เรียนรู้ที่จะรัก (Learn to Love)

    • การรักผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะลูกหลาน ไม่ใช่การทำให้พวกเขาสบายตลอดเวลา แต่คือการปล่อยให้เขาได้เผชิญความยากลำบาก เพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
    • เช่นเดียวกัน การรักตนเองคือการไม่ตามใจด้วยสิ่งไร้สาระ แต่คือการผลักดันตนเองให้พัฒนาไปสู่เวอร์ชันที่ดีขึ้น

    หลักการ:

    • เลือกทำสิ่งยากในปัจจุบัน เพื่อชีวิตที่ง่ายในอนาคต
    • ทุกสิ่งมีทั้งได้และเสีย
    • การรักตนเองที่แท้จริงคือการพัฒนาตนเอง

    บทที่ 8: เรียนรู้ที่จะคิด (Learn to Think)

    ในโลกนี้มีเพียง 2% ที่คิดจริง 3% ที่คิดว่ากำลังคิด และ 95% ที่ยอมตายดีกว่าคิด คนที่คิดเป็นจะอยู่รอดและแทนที่คนที่ไม่ใช้ความคิด

    • “มนุษย์ที่คิดเป็นจะแทนที่มนุษย์ที่คิดไม่เป็น” ไม่ใช่ AI ที่จะมาแทนที่มนุษย์
    • ควรใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และเสริมสร้างความสามารถ ไม่ใช่ให้ทำงานแทนทั้งหมด
    • ควร “Search ให้เยอะและ Serve ให้น้อย” คือการกระตือรือร้นค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ระบบป้อนมาให้
    • ควรเปลี่ยนจากการใช้แรงงาน (Labour) มาเป็นการใช้ความคิด (Mind) ในการสร้างคุณค่า

    หมายเหตุ : หากใครสนใจเรื่อง เรียนรู้ที่จะคิด Learn to Think ผมได้เขียนบทความไว้ เกี่ยวกับเรืิ่อง ผู้ชนะ 10 คิด เป็นเรื่อง การคิด 10 มิติ สามารถเข้าไปดูที่ 👇
    https://wkdateam.com/2024/07/31/winner-10-think/


    บทที่ 9: มาตรวัดที่แท้จริงของชีวิต (True Measurement of Life)

    หน่วยวัดเดียวที่จะวัดชีวิตของเรา คือ การเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ เราไม่ใช่คนเก่งที่สุดในโลก และไม่จำเป็นต้องเป็น

    • การวัดคุณค่าและความสำเร็จที่แท้จริงคือการเปรียบเทียบตนเองในวันนี้กับตนเองในวันวาน ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น
    • ไม่ควรยึดติดกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) แต่ควรเป็น Generalist ที่เรียนรู้รอบด้านและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกวัน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
    • การจะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการ “ลงมือทำ” โดยเริ่มต้นจากการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน และทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองสู่จุดสูงสุดได้

    ข้อสรุป

    “Generalism builds skills, Stoicism builds character.”

    การเป็น Generalist ช่วยสร้างทักษะ ส่วนปรัชญาสโตอิกช่วยสร้างบุคลิกภาพ การใช้ชีวิต คือ การเป็น (Living = Being)

    ข้อคิดสำคัญสุดท้าย:

    • คุณไม่สามารถเป็นเพียงคนเก่งอย่างเดียวได้ คุณต้องเป็นคนดีด้วย
    • หากต้องการเป็นใคร ให้คิดแล้วลงมือทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นคนนั้น
    • การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นเส้นทางสู่ชีวิตที่มีความหมาย

    แนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน:

    สำหรับ Generalist:

    • เรียนรู้ทักษะใหม่อย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้เก่งที่สุด
    • สะสมทักษะที่เสริมกันและกัน (Skill Stacking)
    • มุ่งเน้น “Doable Greatness” มากกว่าความสมบูรณ์แบบ
    • ใช้ ECS Framework ในการพัฒนา: Energy, Confidence, Skill

    สำหรับ Stoicism:

    • ฝึกควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
    • ยึดมั่นใน 4 คุณธรรมหลัก: ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม วินัย
    • สร้างข้อจำกัดที่เหมาะสมเพื่อความเป็นเลิศ
    • ใช้เวลาอย่างมีสติและมีคุณค่า

    การบูรณาการทั้งสองแนวทาง:

    การเป็น Generalist ที่ยึดหลัก Stoicism จะสร้างบุคคลที่มีทั้งความสามารถหลากหลายและมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาความดีงามและคุณค่าที่สำคัญไว้ได้


    แนวคิดเสริมจากปรัชญา Generalism และ Stoicism

    ทำไมต้องเป็น Generalist มากกว่า Specialist?

    การเป็น Specialist ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม โอกาสทางสังคม ฐานะครอบครัว ในขณะที่การเป็น Generalist เป็นทางเลือกที่เราสามารถควบคุมและพัฒนาได้เอง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Talent:

    “Talent” ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด แต่เป็นการรับรู้ (Perception) ที่คนอื่นมองมาที่เรา หากเรามีทักษะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยในหลายๆ ด้าน คนรอบข้างจะมองเราเป็น “Talent” แล้ว

    Energy vs. Passion:

    Scott Adams ผู้แต่ง “How to Fail at Almost Everything and Still Win Big” เสนอแนวคิดว่า Energy สำคัญกว่า Passion เพราะ:

    • Passion อาจหายไปเมื่อพบอุปสรรค
    • Energy ช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากได้
    • คนที่มี Energy สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ดีกว่า

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    การประยุกต์ใช้ในยุคดิจิทัล:

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็น Generalist ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจะมีความได้เปรียบมากกว่า Specialist ที่ติดอยู่ในความเชี่ยวชาญด้านเดียว

    บทสรุปสุดท้าย:

    การมองย้อนกลับมาวัดความสำเร็จด้วยการเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ จะทำให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสุขกับการเดินทางของชีวิต ไม่ว่าเราจะเลือกเป็น Generalist หรือยึดมั่นในหลัก Stoicism สิ่งสำคัญคือการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

  • ข้อคิดจากหนังสือ The Coming Wave คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    ข้อคิดจากหนังสือ The Coming Wave คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    “เมื่อผู้คนถามผมเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ คำถามของพวกเขามักจะสรุปได้ดังนี้: ฉันควรจะกังวลอะไร และควรจะกังวลแค่ไหน ในปีที่ผ่านมา ผมตอบโดยบอกให้พวกเขาอ่าน The Coming Wave โดย Mustafa Suleyman นี่เป็นหนังสือที่ผมแนะนาที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์มากกว่าเล่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำรัฐ ผู้นำธุรกิจ หรือใครก็ตามที่ถาม เพราะหนังสือเล่มนี้มีสิ่งที่หาได้ยาก นั่นคือ มุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสอันยอดเยี่ยม และความเสี่ยงอันแท้จริงที่รออยู่ข้างหน้า” …..The Coming Wave แนะนำโดย Bill Gates (4 ธันวาคม ค.ศ. 2024)

    เครดิตภาพจาก : techsauce

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา: มุสตาฟา สุไลมาน เผยวิสัยทัศน์แห่งอนาคต

    Mustafa Suleyman

    โลกกำลังจะเปลี่ยน คุณพร้อมรับมือหรือยัง?

    มุสตาฟา สุไลมาน ผู้ร่วมก่อตั้ง DeepMind เปิดเผยในหนังสือขายดีของเขาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อปัญญาประดิษฐ์และชีววิทยาสังเคราะห์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน

    “คลื่นลูกใหม่กำลังมา และทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

    จากประสบการณ์อันยาวนานในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้สนับสนุนเทคโนโลยีแนวหน้า สุไลมานไม่เพียงแค่มองเห็นประโยชน์มหาศาล แต่ยังเตือนถึงภัยอันตรายที่เราอาจไม่เคยพบเจอมาก่อน

    ทำไมคุณต้องใส่ใจ?

    คุณลองนึกภาพ:

    • AI ที่จัดการงานสำคัญในชีวิตประจำวันของคุณได้โดยอัตโนมัติ
    • การออกแบบ DNA ที่สามารถทำได้แม้ในโรงรถธรรมดา
    • โลกที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วเกินกว่าที่สังคมจะรับมือได้ทัน

    “The Coming Wave” ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่เป็นสัญญาณเตือนให้เราเตรียมพร้อม เป็นคู่มือที่ครูทุกคนควรอ่านเพื่อเตรียมคนรุ่นถัดไปสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง

    คุณจะอยู่บนยอดคลื่นหรือถูกคลื่นซัดจม? ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว…

    9 ข้อคิดดี ๆ

    1.WAVES คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง: เมื่อเทคโนโลยีกำลังจะพลิกโฉมโลกอีกครั้ง

    คลื่นในประวัติศาสตร์: สัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    ลองนึกถึงเรื่องเล่าโบราณที่แทบทุกวัฒนธรรมมีร่วมกัน – เรื่องราวของน้ำท่วมใหญ่ที่พลิกโฉมโลก

    คลื่นไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังมหาศาลที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในพริบตา

    คลื่นแห่งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก

    เราได้เห็นคลื่นเทคโนโลยีมาแล้วหลายระลอก:

    • การสร้างเครื่องมือเกษตรกรรมที่ทำให้มนุษย์เลิกเร่ร่อนและสร้างอารยธรรม
    • การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนวิถีการทำงานและการใช้ชีวิต
    • การประดิษฐ์ชิปซิลิคอนที่นำไปสู่ยุคดิจิทัล

    แต่ละคลื่นได้เปลี่ยนสังคมมนุษย์อย่างถอนรากถอนโคน

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา

    ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาแบบก้าวกระโดด จากเครื่องคำนวณขนาดห้องสู่คอมพิวเตอร์พกพาที่ทรงพลังกว่าหลายพันเท่า

    และตอนนี้ หลังจากเราเพิ่งปรับตัวกับคลื่นลูกแรกของยุคคอมพิวเตอร์ คลื่นลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น – คลื่นที่อาจทรงพลังยิ่งกว่าที่เคยเห็นมา

    2.THE COMING WAVE คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมา: AI และชีววิทยาสังเคราะห์

    กำลังจะมาถึง: คลื่นลูกใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลง

    คลื่นลูกใหม่ทางเทคโนโลยีกำลังก่อตัวขึ้น และเตรียมจะซัดเข้าสู่ชายฝั่งแห่งสังคมของเรา โดยมีสองพลังหลักที่ขับเคลื่อน:

    • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) – ที่เรียนรู้และปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง
    • ชีววิทยาสังเคราะห์ – ที่เปิดโอกาสให้เราสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิต

    ความก้าวหน้าที่เหนือความคาดหมาย

    นึกถึงแชทบอทเมื่อ 5 ปีก่อน… ที่แทบใช้งานไม่ได้เลย

    เปรียบเทียบกับ ChatGPT ในวันนี้… ที่กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ

    นี่คือความเร็วในการพัฒนาที่แทบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

    ดาบสองคม: โอกาสและความเสี่ยง

    เหมือนมีดที่คมกริบ – เครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์ยุคแรกสร้างสิ่งประดิษฐ์ แต่ก็ถูกใช้เป็นอาวุธได้เช่นกัน

    เทคโนโลยีลูกใหม่นี้:

    • สร้างโอกาสมหาศาลที่เราแทบจะจินตนาการไม่ถึง
    • แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กัน

    เหตุใดเราต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้

    เราอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ – เรายังมีเวลาที่จะรับมือกับคลื่นลูกนี้อย่างชาญฉลาด

    แทนที่จะปล่อยให้คลื่นซัดเราจมน้ำ เรายังสามารถเรียนรู้ที่จะโต้คลื่นและใช้พลังของมันให้เป็นประโยชน์

    3.PESSIMISM AVERSION ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้าย: อุปสรรคต่อการรับมือกับเทคโนโลยีใหม่

    ทำไมเราถึงมักเลือกมองแต่ด้านดี?

    เรากำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ในการรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ – สิ่งที่มุสตาฟา สุไลมานเรียกว่า “ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้าย”

    ลองคิดดู – เมื่อมีคนเตือนถึงความเสี่ยงของเทคโนโลยีใหม่ คุณเคยรู้สึกไม่สบายใจและอยากปฏิเสธคำเตือนนั้นหรือไม่?

    สัญชาตญาณการปฏิเสธความเสี่ยง

    นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของมนุษย์:

    • เราไม่อยากมองเห็นอันตรายที่กำลังจะมา
    • เราต้องการเชื่อว่าทุกอย่างจะดีเอง
    • เรามักจะ “เอาหัวมุดทราย” เมื่อเผชิญกับความเสี่ยง

    การโจมตีผู้เตือนภัย

    เมื่อมีคนพยายามเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เรามักจะ:

    • เรียกเขาว่า “คนชอบคัดค้าน”
    • กล่าวหาว่า “มองโลกในแง่ร้าย”
    • บอกให้พวกเขา “มองโลกในแง่ดีบ้าง”

    ความสมดุลที่จำเป็น

    ความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้ายมีประเด็นที่ถูกต้อง: คลื่นเทคโนโลยีใหม่นี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน

    แต่การปฏิเสธที่จะมองเห็นอันตรายหรือความเสี่ยงเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

    สิ่งที่เราต้องการคือมุมมองที่สมดุล: เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง พร้อมเตรียมรับมือกับทั้งสองด้าน

    4.GLOBAL ISSUES การแข่งขันระดับโลก: เมื่อประเทศต่างๆ เร่งพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง

    เชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่

    นอกจากความเกลียดชังต่อการมองโลกในแง่ร้ายแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้คลื่นลูกใหม่ทวีความรุนแรง: การแข่งขันระดับโลก

    ลองคิดภาพ: เมื่อประเทศหนึ่งพัฒนา AI ที่ทรงพลัง ประเทศอื่นๆ จะยอมอยู่เฉยๆ ได้หรือไม่?

    แรงผลักดันจากความกลัวการล้าหลัง

    ประเทศต่างๆ ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวพื้นฐาน:

    • ไม่มีประเทศใดต้องการเป็นรองในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
    • ทุกประเทศต้องการเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมล้ำสมัย
    • ความกลัวที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังนำไปสู่การเร่งพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด

    การขยายขอบเขตโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ

    นี่คือวิธีที่เส้นแบ่งของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถูกผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ:

    • การค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
    • มาตรฐานความปลอดภัยอาจถูกละเลย
    • ผลกระทบระยะยาวแทบไม่ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

    คำถามสำคัญสำหรับสังคมของเรา

    เราจะสร้างสมดุลระหว่างการแข่งขันและความรับผิดชอบได้อย่างไร?

    เราจะสร้างกรอบการทำงานระดับโลกที่ช่วยให้เทคโนโลยีก้าวหน้าโดยไม่ละเลยความปลอดภัยได้หรือไม่?

    หรือเราจะปล่อยให้การแข่งขันระหว่างประเทศผลักดันให้เราก้าวไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครสำรวจมาก่อนโดยไม่มีแผนที่นำทาง?

    5.CONTAINMENT การควบคุมคลื่นเทคโนโลยี: ความท้าทายที่แทบเป็นไปไม่ได้

    จะควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อย่างไร?

    การรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีที่กำลังมานั้น ต้องมีการควบคุม แต่นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยากที่สุด

    มุสตาฟา สุไลมาน ให้นิยามของ “การควบคุม” ไว้อย่างชัดเจน:

    “ความสามารถในการตรวจสอบ จำกัด ควบคุม และอาจปิดเทคโนโลยีลงด้วยซ้ำ”

    แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่า นี่เป็นภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้

    บทเรียนจากอดีต: เทคโนโลยีมักหาทางออก

    จักรวรรดิออตโตมันเคยพยายามห้ามใช้โรงพิมพ์ — แต่ผลเป็นอย่างไร?

    ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

    เทคโนโลยีมักหาทางเล็ดลอดผ่านการควบคุมเสมอ เหมือนน้ำที่หาทางไหลผ่านรอยแตกของเขื่อน

    เหตุใดคลื่นลูกใหม่จึงควบคุมยากกว่าที่เคย

    คลื่นเทคโนโลยีใหม่มีคุณสมบัติที่ทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน:

    • ราคาถูก – ไม่ต้องลงทุนมหาศาลเหมือนเทคโนโลยีในอดีต
    • เข้าถึงง่าย – ใครๆ ก็สามารถใช้งานได้จากทั่วโลก
    • ใช้งานง่าย – ไม่จำเป็นต้องมีทักษะซับซ้อน

    เปรียบเทียบ: เครื่องบินขับไล่ vs เทคโนโลยีดิจิทัล

    สุไลมานใช้ตัวอย่างที่ชัดเจน:

    เครื่องบินขับไล่:

    • ราคาแพงหลายร้อยล้าน
    • ต้องการการฝึกฝนหลายปี
    • ควบคุมได้ง่ายเพราะมีอุปสรรคสูงในการเข้าถึง

    เทคโนโลยีดิจิทัลใหม่:

    • ถูกมาก (หรือฟรี)
    • ใช้งานง่าย ไม่ต้องผ่านการฝึกอบรมมาก
    • แพร่กระจายได้ทั่วโลกในเสี้ยววินาที

    6.THE FOUR FEATURES สี่คุณสมบัติที่ทำให้คลื่นเทคโนโลยีใหม่ควบคุมไม่ได้

    คลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่มีลักษณะพิเศษที่ทำให้การควบคุมเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มุสตาฟา สุไลมานได้ระบุคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง

    1. ความไม่สมดุล (Asymmetry)

    การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย = ผลกระทบมหาศาล

    เพียงแค่การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ในโค้ดหรือการทดลองทางชีววิทยา อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่ไม่คาดคิด

    ลองนึกภาพ: โค้ดเพียงไม่กี่บรรทัดอาจสร้างระบบที่ส่งผลกระทบต่อคนนับล้าน

    2. วิวัฒนาการขั้นสูงสุด (Hyper-evolution)

    พัฒนาเร็วเกินกว่าที่เราจะตามทัน

    เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้พัฒนาแบบเส้นตรง แต่พัฒนาแบบทวีคูณ – เร็วขึ้นเรื่อยๆ

    ระบบ AI ในวันนี้อาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัยในอีกหกเดือนข้างหน้า ทำให้การสร้างกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องยาก

    3. การใช้งานได้หลากหลาย (Omni-use)

    หนึ่งเทคโนโลยี = หลากหลายการใช้งาน

    เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุตสาหกรรมเดียว แต่สามารถนำไปใช้ได้แทบทุกด้านของชีวิต:

    • ทางการแพทย์
    • ทางการเงิน
    • ทางการศึกษา
    • และอีกมากมาย

    ซึ่งทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยาก เพราะต้องคิดถึงการใช้งานที่หลากหลายและอาจไม่คาดคิด

    4. ความเป็นอิสระ (Autonomy)

    เทคโนโลยีที่คิดและตัดสินใจได้เอง

    ลักษณะที่น่ากลัวที่สุด: ระบบ AI ที่กำลังพัฒนาสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ ตัดสินใจได้เอง และอาจพัฒนาตัวเองต่อไปได้

    นึกภาพระบบที่สามารถ:

    • เรียนรู้จากประสบการณ์
    • ปรับตัวเมื่อเผชิญอุปสรรค
    • ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์

    7.IN THE WRONG HANDS เมื่อเทคโนโลยีตกอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี: อันตรายที่เพิ่มทวีคูณ

    ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเมื่อคนผิดได้ครอบครองเทคโนโลยีใหม่

    อีกด้านที่น่ากังวลของคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่คือโอกาสที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย

    ความเสี่ยงไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่เป็นภัยคุกคามที่จับต้องได้และน่ากลัวอย่างยิ่ง

    จินตนาการถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่

    ลองนึกภาพสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้:

    โดรนติดอาวุธที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    • สามารถจดจำใบหน้าและระบุเป้าหมายเฉพาะได้
    • บินอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    • ติดตั้งอาวุธที่ทำลายล้างสูง

    เทคโนโลยีเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ก่อการร้ายเพียงคนเดียวมีอำนาจทำลายล้างเทียบเท่ากับกองทัพขนาดเล็ก

    สองด้านของเหรียญเดียวกัน

    แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า:

    ในมือของคนดี เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถ:

    • ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น
    • เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาความหิวโหย
    • ช่วยชีวิตผู้คนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ

    การเดินบนเส้นทางแคบ

    มุสตาฟา สุไลมานเน้นย้ำว่า เราต้อง “เดินบนเส้นทางที่แคบ”:

    • ต้องควบคุม เทคโนโลยีอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
    • แต่ ไม่ควบคุมมากเกินไป จนทำลายศักยภาพที่จะสร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่

    คำถามสำคัญคือ: เราจะสร้างสมดุลนี้ได้อย่างไร? เราจะสร้างระบบที่ให้เทคโนโลยีใหม่เบ่งบานในมือของคนดี แต่ป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนร้ายได้หรือไม่?

    8.THE NARROW PATH เส้นทางแคบ: สมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย

    การเดินบนเส้นด้ายระหว่างอนาคตสองแบบ

    มุสตาฟา สุไลมาน ใช้คำว่า “เส้นทางแคบ” เพื่ออธิบายความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัยเรา:

    “ศักยภาพของมนุษยชาติในการสร้างสมดุลระหว่างความเปิดกว้างและการปิดล้อม เมื่อต้องจำกัดเทคโนโลยีในคลื่นลูกใหม่ที่จะมาถึง เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้าย”

    นี่คือเส้นทางที่เปราะบางที่เราต้องเดิน – ไม่เปิดกว้างจนเกินไป แต่ก็ไม่ปิดกั้นจนเกินไป

    ความท้าทายที่ไม่มีวันจบ

    เส้นทางนี้มีลักษณะสำคัญสองประการ:

    1. เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก

    • ต้องการการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนและยากลำบาก
    • ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
    • ต้องยอมรับว่าไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์แบบ

    2. เป็นเส้นทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    • ไม่ใช่เป้าหมายที่เมื่อไปถึงแล้วจะจบ
    • เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องไปตลอด
    • สังคมทุกแห่งต้องเดินบนเส้นทางนี้ไปพร้อมกัน

    ความสมดุลที่ต้องรักษา

    เส้นทางแคบนี้คือการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่าง:

    • การปล่อยให้นวัตกรรมเติบโตอย่างเสรี
    • การกำกับดูแลที่เพียงพอเพื่อความปลอดภัย
    • การเปิดโอกาสให้เกิดประโยชน์
    • การป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด

    คำถามสำคัญสำหรับมนุษยชาติ

    เราจะรักษาสมดุลนี้ได้อย่างไร? มนุษยชาติจะมีวินัยและความรอบคอบเพียงพอที่จะเดินบนเส้นทางแคบนี้ไปด้วยกันได้หรือไม่?

    นี่ไม่ใช่เพียงความท้าทายทางเทคโนโลยี แต่เป็นความท้าทายทางศีลธรรมและจริยธรรมที่จะกำหนดอนาคตของเรา

    9.SCULPTING THE NEXT WAVE การปั้นแต่งคลื่นเทคโนโลยี: มนุษย์ต้องมาก่อนเสมอ

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่เราต้องไม่ลืม

    การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งก่อนสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาล แต่มาพร้อมกับราคาที่แสนแพง:

    ลองนึกภาพ:

    • เด็กน้อยที่ต้องทำงานในโรงงานอันอันตราย
    • ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในสลัมสกปรก
    • ชีวิตที่ถูกบีบให้ปรับตัวเข้ากับจังหวะของเครื่องจักร

    มนุษย์ถูกบังคับให้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี แทนที่จะเป็นในทางกลับกัน

    จุดยืนของมุสตาฟา สุไลมาน

    มุสตาฟา สุไลมานเชื่อว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิง:

    “เราต้องมั่นใจว่าเทคโนโลยีถูกปรับให้เข้ากับผู้คน ชีวิตและความหวังของพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่ม”

    นี่คือการเปลี่ยนมุมมองครั้งสำคัญ – แทนที่จะบังคับมนุษย์ให้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี เราต้องออกแบบเทคโนโลยีให้รับใช้ความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้น

    การจำกัดที่มีความหมาย

    เทคโนโลยีที่ปรับให้เข้ากับมนุษย์คือเทคโนโลยีที่ถูกจำกัดอย่างเหมาะสม:

    • จำกัดไม่ให้ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
    • จำกัดไม่ให้เพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคม
    • จำกัดไม่ให้ทำลายคุณค่าของมนุษย์

    ภารกิจหลักของเรา

    สุไลมานเน้นย้ำว่า:

    “ภารกิจเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่การขี่หรือหยุดคลื่นลูกใหม่โดยเปล่าประโยชน์ แต่คือการปั้นแต่งมัน”

    เราไม่สามารถหยุดคลื่นเทคโนโลยีได้ และเราไม่ควรปล่อยให้มันพัดเราไปตามกระแสโดยไร้ทิศทาง

    แต่เราสามารถและควรที่จะปั้นแต่งคลื่นนั้น – กำหนดรูปร่างและทิศทางของมัน เพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดและความเสียหายน้อยที่สุด

    สัญญาแห่งอนาคต

    ครั้งนี้ มนุษย์ต้องมาก่อนเสมอ – ไม่ใช่กำไร ไม่ใช่ประสิทธิภาพ ไม่ใช่ความก้าวหน้าทางเทคนิค แต่เป็นความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์

    เราจะสร้างอนาคตที่เทคโนโลยีรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์รับใช้เทคโนโลยีได้หรือไม่? นี่คือคำถามที่จะกำหนดศตวรรษของเรา


    3 ขั้นตอนเตรียมพร้อมรับคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่

    เราไม่อาจหนีคลื่นได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมได้

    มุสตาฟา สุไลมานได้เสนอแนวทาง 3 ขั้นตอน ที่จะช่วยให้เราพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะมา

    1. ยอมรับว่าคลื่นกำลังมา

    คลื่นเทคโนโลยีใหม่นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    ก้าวแรกของการเตรียมพร้อมคือการยอมรับความจริง:

    • AI และชีววิทยาสังเคราะห์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
    • การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่
    • แม้เราจะคาดเดาผลลัพธ์ทั้งหมดไม่ได้ แต่เราต้องยอมรับว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น

    การปฏิเสธหรือการมองข้ามความจริงนี้จะทำให้เราตกอยู่ในอันตราย

    2. ก้าวทันเทคโนโลยี

    ความรู้คือพลัง – โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

    หากคุณไม่ต้องการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง:

    • ติดตามความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยี
    • เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีใหม่ทำงานอย่างไร
    • ทำความเข้าใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยง

    เปรียบเสมือนการเรียนรู้กระแสน้ำก่อนที่จะว่ายน้ำ – หากคุณไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณไม่มีทางปกป้องตัวเองได้

    3. ปรับแต่งคลื่น

    นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด: การร่วมกันกำหนดทิศทาง

    คลื่นลูกนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมที่จะ:

    • สร้างเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม
    • พัฒนานวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเล็กๆ
    • กำหนดกรอบกติกาที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยง

    เวลาแห่งการตัดสินใจ

    คลื่นกำลังมา และเรามีทางเลือก:

    1. ปล่อยให้มันซัดเราไปตามยถากรรม
    2. พยายามต่อต้านมันอย่างไร้ผล
    3. หรือเรียนรู้ที่จะขี่คลื่นนั้น โดยนำทางให้มันไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

    การเลือกอยู่ที่เรา – และการเลือกนั้นจะกำหนดโลกที่เราจะส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป

    คุณพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการปั้นแต่งคลื่นหรือยัง?

    สรุปสาระสำคัญจาก “The Coming Wave”: เราจะรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีครั้งใหญ่อย่างไร

    คลื่นลูกใหม่กำลังมา แน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้

    จุดสำคัญที่สุดที่มุสตาฟา สุไลมานต้องการสื่อใน “The Coming Wave” คือ:

    คลื่นเทคโนโลยีลูกใหญ่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าเราจะเตรียมพร้อมหรือไม่ก็ตาม

    AI และชีววิทยาสังเคราะห์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และจะเปลี่ยนแปลงโลกของเราอย่างถอนรากถอนโคน

    เราต้องก้าวไปพร้อมกับคลื่น ไม่ใช่ถูกพัดไปตามคลื่น

    วิธีที่เราตอบสนองต่อคลื่นนี้จะกำหนดอนาคตของเรา:

    • เราต้องเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง
    • เราต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด
    • เราต้องร่วมกันกำหนดทิศทางการใช้งาน

    ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เราต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเราไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ

    อนาคตอยู่ในมือเรา

    ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่า คลื่นเทคโนโลยีลูกนี้จะนำพาเราไปสู่:

    • ยุคทองแห่งความก้าวหน้า ที่แก้ปัญหาความหิวโหย โรคภัย และความยากจน
    • หรือ หายนะอันน่าสะพรึงกลัว ที่ทำลายล้างหรือเปลี่ยนแปลงสังคมไปตลอดกาล

    ทางเลือกอยู่ที่เราและการกระทำของเรา วันนี้

    เวลาคือสิ่งสำคัญ

    เราต้องเริ่มเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้:

    • ทำความเข้าใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานอย่างไร
    • ตระหนักถึงทั้งศักยภาพและความเสี่ยง
    • ร่วมกันกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทาง

    การตัดสินใจของเราวันนี้จะกำหนดโลกที่ลูกหลานของเราจะได้อาศัยอยู่


    “คลื่นลูกใหม่กำลังมา สิ่งที่เราทำกับคลื่นนั้นจะกำหนดชะตากรรมของเรา”

  • บทสรุปรายงาน SCBX AI Outlook 2025

    บทสรุปรายงาน SCBX AI Outlook 2025

    รายงานฉบับนี้นำเสนอ 4 ประเด็นหลักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ AI จะสร้างให้กับโลกในปี 2025

    ประเด็นที่ 1 การแข่งขันระหว่าง AI แบบ Open-Source และ Close-Source ที่ทวีความเข้มข้น

    1. Open-Source หมายถึง ระบบเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบ และพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระ เปรียบเสมือนบริษัทที่มีความโปร่งใสในทุกกระบวนการ

    ส่วน Close-Source คือ ระบบปิดที่เปิดเผยเฉพาะผลลัพธ์หรือบางส่วนของข้อมูลเท่านั้น ไม่เปิดเผยกระบวนการพัฒนาหรือกลยุทธ์ภายใน

    2.ปัจจุบัน โมเดล AI แบบปิด (Close-Source) เช่น ChatGPT และ Claude ยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่าโมเดลแบบเปิด (Open-Source) เช่น Deepseek เนื่องจากได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนที่มากกว่า

    อย่างไรก็ตาม ช่องว่างด้านประสิทธิภาพนี้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสำคัญสองประการ คือ Economies of Speed และ Economies of Scale กล่าวคือ เมื่อมีผู้ใช้จำนวนมากนำโมเดลแบบเปิดไปทดลองใช้ในหลากหลายสถานการณ์ จะเกิดการพัฒนาโมเดลแบบเปิดโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติม

    3.ผลกระทบ เมื่อโมเดลแบบเปิดมีการพัฒนามากขึ้น จะส่งผลให้วงการ AI มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเกินคาด ธุรกิจต่างๆ จะสามารถนำ AI คุณภาพสูงมาใช้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงหรือไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถพัฒนาต่อยอดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

    ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นธุรกิจจำนวนมากฝึกฝน Chatbot เฉพาะทางสำหรับธุรกิจของตนเอง และมี AI Agent ที่สามารถตอบคำถามลูกค้าโดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลได้โดยตรง

      ประเด็นที่ 2 สามเทรนด์หลักของ AI ในยุคถัดไป

      1. Multimodal LLMs เทคโนโลยี AI แบบหลากหลายรูปแบบกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างถาวร

      หากย้อนกลับไปในปี 2021 AI เริ่มมีบทบาทในการแปลงข้อความเป็นภาพ ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากแล้วในเวลานั้น แต่เมื่อมาถึงปี 2025 Multimodal AI หรือ AI ที่มีความสามารถรอบด้าน (เช่น ChatGPT รุ่นล่าสุด) สามารถสร้างภาพจากคำสั่ง ทำการวิจัยเชิงลึก และวิเคราะห์ภาพที่ผู้ใช้ส่งไปได้ AI ประเภทนี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

      ปัจจุบัน SCBX ได้นำ AI แบบ Multimodal มาใช้ในการสร้างระบบครูอัจฉริยะสำหรับการอบรมพนักงาน รวมถึงการจำลองและวิเคราะห์การนำเสนอการขาย (Sales Pitch)

      นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ทางการแพทย์ในการวินิจฉัยโรคจากภาพและข้อมูล หรือในวงการศึกษาที่จะใช้ AI ช่วยอธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้นโดยสามารถตอบโต้แบบทันทีได้

      2.โมเดลขนาดเล็ก (SLMs) สำหรับงานเฉพาะทาง ผู้ที่เคยทดลองใช้ AI ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (เช่น Ollama หรือ Deepseek) จะพบว่ายิ่งเลือกโมเดลที่มีความสามารถสูง ขนาดของข้อมูลก็จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย

      นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลทั่วไปหรือบริษัทขนาดเล็กยังไม่สามารถเข้าถึง AI ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายสูง โมเดลเฉพาะทางเหล่านี้มีขนาดเล็กมากเนื่องจากได้รับการฝึกฝนเฉพาะในขอบเขตงานที่กำหนดเท่านั้น

      ข้อดีคือสามารถทำงานได้โดยใช้ทรัพยากรน้อย ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และมีความเร็วในการประมวลผลที่มากกว่าโมเดลขนาดใหญ่ แม้ว่าประสิทธิภาพอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถือว่าคุ้มค่า เพราะทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

      3.การเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ด้วยเวลาในการคิด ปัจจุบันมีการเปิดตัว AI รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่กำลังเผชิญกับกฎแห่งผลตอบแทนที่ลดลง (Law of diminishing return)

      กล่าวคือ แม้จะมีการลงทุนจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนาอาจไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร เปรียบเสมือนการวิ่ง 1 กิโลเมตรภายใน 3 นาที แต่หากต้องการลดเวลาลงเหลือ 2.5 นาที จำเป็นต้องฝึกซ้อมหนักขึ้นหลายเท่า

      วิธีแก้ปัญหาปัจจุบันคือการให้เวลา AI ในการคิดวิเคราะห์ เมื่อ AI ได้มีโอกาสทบทวนและคิดวิเคราะห์ จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้จากความสามารถเดิมที่มีอยู่ วิธีการนี้ช่วยลดต้นทุนและการใช้ทรัพยากร โดยยังคงสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI ได้มากขึ้น

        ทั้งสามเทรนด์นี้ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ในอนาคต AI จะมีต้นทุนที่ต่ำลง มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

        ประเด็นที่ 3 การมาถึงของ AI Agent

        1.ความสำคัญของ AI Agent AI Agent

        เป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรหรือผู้บริหารควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับประสบการณ์การใช้งาน ChatGPT ครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง AI ประเภทนี้ (ChatGPT หรือ Claude) ถูกเรียกว่า Generative AI (Gen AI)

        2.ความแตกต่างระหว่าง Gen AI และ AI Agent

        Gen AI เป็น AI ที่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการตัดสินใจและรอคำสั่งจากผู้ใช้งานเพื่อสร้างคำตอบ ในขณะที่ AI Agent สามารถคิดและประมวลผลได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง ทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งในทุกขั้นตอน

        3.กรณีศึกษาจาก SCBX SCBX ได้ทดลองสั่งให้ Gen AI และ AI Agent วิเคราะห์หุ้น

        พบว่า Gen AI ที่คนทั่วไปใช้งานสามารถวิเคราะห์ได้เพียงผิวเผินและข้อมูลไม่ครบถ้วน ในขณะที่ AI Agent สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด เรียกใช้เครื่องมือทางการเงิน และสร้างรายงาน ตารางสถิติ อัตราผลตอบแทนได้อย่างครบถ้วน

        4.การประยุกต์ใช้งาน AI Agent สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานได้อย่างมาก โดยสามารถทำงานหลายอย่างแทนมนุษย์ได้โดยที่ไม่ต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด

          ประเด็นที่ 4 AGI – ความก้าวหน้าสู่ความเป็นมนุษย์

          1.AGI คืออะไร

          AGI (Artificial General Intelligence) หมายถึง AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และทำงานต่างๆ ได้เสมือนมนุษย์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนา AI

          อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกัน เนื่องจากสมองมนุษย์ทำงานแตกต่างจากคอมพิวเตอร์อย่างมาก มนุษย์เข้าใจบริบท มีความคิดสร้างสรรค์ และตัดสินใจบนพื้นฐานของค่านิยมและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งการจำลองสิ่งเหล่านี้ยังเป็นความท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน

          2.มุมมองผู้เชี่ยวชาญ

          ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น
          👉 Sam Altman (ผู้ก่อตั้ง OpenAI – บริษัทเจ้าของ ChatGPT) เชื่อว่า AGI อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์
          👉 ในขณะที่ Mustafa Suleyman (CEO ของ Microsoft AI) เชื่อว่าจะใช้เวลามากกว่า 10 ปีกว่าที่เราจะได้เห็น AGI ที่แท้จริง

          3.กรณีศึกษาของ SCBX

          SCBX ได้นำเสนอกรณีศึกษาเกี่ยวกับการนำโมเดล Typhoon (LLM ภาษาไทย) ที่พัฒนาขึ้นเองมาใช้ในหลายภาคส่วนธุรกิจ เช่น โรงพยาบาลศิริราช, VISAI และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

            บทสรุป

            เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเปรียบเสมือนยุคเริ่มต้นของเว็บไซต์ ที่หลายบริษัทคิดว่าไม่จำเป็นและปฏิเสธการใช้งาน แต่ในปัจจุบัน เว็บไซต์และอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เราใช้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องพิเศษ เช่นเดียวกัน AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเราอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาและเริ่มทดลองใช้งานตั้งแต่ตอนนี้

            สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้ แนะนำหนังสือ “The Coming Wave” ซึ่งอธิบายถึงการเปลี่ยนผ่านของแต่ละยุคและผลกระทบที่ AI กำลังสร้างให้กับโลกของเรา

          1. สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

            สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

            Subscribe to continue reading

            Subscribe to get access to the rest of this post and other subscriber-only content.

          2. SIM Box (GSM Gateway) คืออะไร?

            SIM Box (GSM Gateway) คืออะไร?

            Subscribe to continue reading

            Subscribe to get access to the rest of this post and other subscriber-only content.

          3. Social Network Analysis (SNA) : การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม Part2

            Social Network Analysis (SNA) : การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม Part2

            ฟังก์ชันการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมและวิธีใช้งานใน Analyst’s Notebook แบบเข้าใจง่าย

            วิธีเริ่มต้นทำการวิเคราะห์

            เริ่มต้นง่ายๆ แค่เลือกแท็บ “Social Network Analysis” ในบานหน้าต่างงาน (Task Pane)

            หน้าตัวเลือก (Options Page)

            การตั้งค่าการวิเคราะห์ทำได้ดังนี้

            1. เลือกแท็บ “Options” เพื่อเปิดหน้าตัวเลือก
            2. เลือกค่าความเป็นศูนย์กลางที่ต้องการใช้
              • เลือกแบบเดียวหรือหลายแบบก็ได้
              • เลือกว่าจะคำนึงถึงทิศทางการเชื่อมโยงหรือไม่
            3. ตัวเลือก “Enhanced Analysis” ช่วยจัดการกับ
              • แผนภูมิที่มีหลายเครือข่ายแยกกัน
              • การเชื่อมโยงแบบมีทิศทางที่ทำให้บางหน่วยติดต่อกันไม่ได้
            4. ตัวเลือก “Normalize Results”
              • เปิด: แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ (ง่ายต่อการเปรียบเทียบ)
              • ปิด: แสดงผลเป็นตัวเลขดิบ
              • แนะนำให้เปิดไว้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างเครือข่ายต่างๆ ได้ง่าย

            การดำเนินการเมื่อเสร็จสิ้น (Actions on Completion)

            สิ่งที่ทำได้หลังคำนวณเสร็จ

            หลังจากคำนวณการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมเสร็จแล้ว คุณมีตัวเลือกในการแสดงผลดังนี้

            1. แสดงผลลัพธ์บนแผนภูมิ
              • เลือก “Show Results on Chart”
              • ผลการวิเคราะห์จะแสดงบนแผนภูมิทันที
            2. ใช้การจัดรูปแบบแบบมีเงื่อนไข
              • เลือก “Apply Conditional Formatting”
              • เลือกกฎการจัดรูปแบบจากรายการแบบเลื่อนลง
              • ช่วยเน้นข้อมูลสำคัญ เช่น
                • ขยายขนาดไอคอนคนสำคัญให้ใหญ่ขึ้น
                • ใส่สีให้ไอคอนตามค่าความเป็นศูนย์กลาง
                • ทำให้เห็นโครงสร้างเครือข่ายและคนสำคัญได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            หน้าการถ่วงน้ำหนัก (Weightings Page)

            การถ่วงน้ำหนักในการวิเคราะห์

            การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมจะดีขึ้นเมื่อมีการใช้น้ำหนักที่แตกต่างกันสำหรับความสัมพันธ์แต่ละแบบ ใน Analyst’s Notebook คุณสามารถกำหนดน้ำหนักได้สองวิธี

            • กำหนดเองในแต่ละแผนภูมิ
            • ใช้ไฟล์น้ำหนักที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

            วิธีใช้งานการถ่วงน้ำหนัก

            1. เปิดใช้โดยเลือก “Use Link Weightings” ในหน้าตัวเลือก
            2. จากนั้นเลือกวิธีกำหนดน้ำหนัก
              • กำหนดเอง: เลือกเส้นเชื่อม แล้วใช้ “Manually Set Value” เพื่อป้อนค่าน้ำหนัก
              • ใช้ค่าที่มีอยู่: เลือกแอตทริบิวต์ตัวเลขที่มีอยู่แล้วในข้อมูล
              • ใช้ไฟล์: เลือก “From a Weightings File” แล้วเลือก “Create a New File” หรือ “Select a File”
            3. แสดงน้ำหนักบนแผนภูมิ
              • เลือก “Show Weightings on chart” เพื่อให้เห็นว่าแต่ละความสัมพันธ์มีน้ำหนักเท่าไร

            การใช้น้ำหนักช่วยให้คุณเห็นความสำคัญที่แตกต่างกันของความสัมพันธ์แต่ละแบบ ทำให้การวิเคราะห์เครือข่ายตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น

            The Results Page หน้าผลลัพธ์

            เพื่อคำนวณและวิเคราะห์ผลลัพธ์การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมของคุณ ให้เลือกแท็บ Results (ผลลัพธ์) เพื่อแสดงหน้าผลลัพธ์

            การคำนวณผลลัพธ์ (Calculating Results) แบบเข้าใจง่าย

            วิธีเริ่มการคำนวณ

            เริ่มการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมได้ง่ายๆ โดยคลิกปุ่ม “Calculate” (คำนวณ)

            การแสดงผลลัพธ์

            เมื่อคำนวณเสร็จ

            • ผลลัพธ์จะแสดงโดยอัตโนมัติในตารางผลลัพธ์
            • ผลของ “คน” และ “การเชื่อมโยง” จะแสดงในตารางแยกกัน
            • โปรแกรมจะแสดงตารางผลลัพธ์ของ “คน” เป็นค่าเริ่มต้น

            การจัดการผลลัพธ์

            คุณสามารถจัดเรียงข้อมูลได้โดย

            • คลิกที่หัวข้อคอลัมน์ใดก็ได้ที่ต้องการจัดเรียง
            • เช่น คลิกที่คอลัมน์ “Betweenness” เพื่อเรียงลำดับจากมากไปน้อย

            ผลลัพธ์จะแสดงในรูปแบบรายการที่เข้าใจง่าย ให้คุณเห็นว่าใครมีค่าความเป็นศูนย์กลางสูงที่สุดในแต่ละประเภท

            บานหน้าต่างการดำเนินการ (Actions Panel)

            ตัวเลือกหลังสร้างผลลัพธ์เสร็จแล้ว

            หลังจากคำนวณเสร็จ คุณมีตัวเลือกหลายอย่างในการจัดการกับผลลัพธ์

            1. แสดงผลบนแผนภูมิ
              • เลือก “Show Results on Chart”
              • ผลลัพธ์จะปรากฏบนแผนภูมิเครือข่ายของคุณ
            2. ดูเฉพาะข้อมูลสำคัญ
              • เลือก “Select Top Five” เพื่อไฮไลต์เฉพาะ 5 อันดับแรก
              • เลือก “Hide Unselected items” เพื่อซ่อนข้อมูลที่ไม่ได้เลือก
              • ช่วยให้เห็นเฉพาะคนสำคัญในเครือข่าย
            3. นำข้อมูลไปใช้ที่อื่น
              • เลือก “Copy Results Table” เพื่อคัดลอกตารางผลลัพธ์
              • นำไปวางในโปรแกรมอื่นได้ เช่น Microsoft Word หรือ Excel
              • สะดวกสำหรับการทำรายงานหรือวิเคราะห์เพิ่มเติม

            SNA Glossary: คำศัพท์การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม

            หน่วย (Entity)

            ไอคอนที่แทนคนหรือสิ่งในเครือข่าย มีป้ายชื่อกำกับ

            ความเป็นศูนย์กลางแบบระหว่าง (Betweenness)

            วัดว่ามีเส้นทางสั้นที่สุดกี่เส้นที่ผ่านคนๆ นั้น

            • คนที่มีค่านี้สูง = เป็น “สะพาน” สำคัญในเครือข่าย
            • คนที่มีค่านี้ต่ำ = แทบไม่มีใครต้องผ่านเขาเพื่อติดต่อคนอื่น

            ถ้าเลือก “ใช้ทิศทางการเชื่อมโยง” ลูกศรจะกำหนดว่าเส้นทางใดนับได้

            หมายเหตุ: ไม่มีการแยกคอลัมน์ขาเข้า/ขาออก เพราะเส้นทางยังคงเป็นเส้นทางเดิมไม่ว่าจะกลับทิศลูกศรอย่างไร

            ความเป็นศูนย์กลางแบบใกล้ชิด (Closeness)

            วัดว่าคนนั้นอยู่ใกล้คนอื่นๆ ในเครือข่ายแค่ไหน

            • คนที่มีค่านี้สูง = เข้าถึงคนอื่นในเครือข่ายได้เร็ว

            ถ้าเลือก “ใช้ทิศทางการเชื่อมโยง” จะมีสองคอลัมน์:

            • Closeness (In): วัดความใกล้ชิดจากเส้นทางขาเข้า (คนอื่นติดต่อเราได้เร็วแค่ไหน)
            • Closeness (Out): วัดความใกล้ชิดจากเส้นทางขาออก (เราติดต่อคนอื่นได้เร็วแค่ไหน)

            ความเป็นศูนย์กลางแบบระดับ (Degree)

            นับจำนวนการเชื่อมต่อที่คนนั้นมีกับคนอื่น

            ถ้าเลือก “ใช้ทิศทางการเชื่อมโยง” จะมีสองคอลัมน์:

            • Degree (In): จำนวนการเชื่อมโยงที่เข้ามาหาเรา
            • Degree (Out): จำนวนการเชื่อมโยงที่ออกจากเราไปหาคนอื่น

            หมายเหตุเรื่องน้ำหนัก:

            • การเชื่อมโยงที่มีน้ำหนัก 4 = สำคัญกว่าการเชื่อมโยงไม่มีน้ำหนัก 4 เท่า
            • ตัวอย่าง: คนที่มีการเชื่อมโยง 2 เส้น (หนึ่งเส้นไม่มีน้ำหนัก และอีกเส้นมีน้ำหนัก 4) จะมีค่า Degree = 5

            ความเป็นศูนย์กลางแบบไอเกนเวกเตอร์ (Eigenvector)

            วัดว่าคนนั้นเชื่อมต่อกับคนสำคัญในเครือข่ายมากแค่ไหน

            • คนที่มีค่านี้สูง = รู้จักคนสำคัญในเครือข่ายมาก

            ถ้าเลือก “ใช้ทิศทางการเชื่อมโยง” จะมีสองคอลัมน์:

            • Authority (In): วัดการเชื่อมต่อจากเส้นทางขาเข้า (คนสำคัญติดต่อเรามาก)
            • Hub (Out): วัดการเชื่อมต่อจากเส้นทางขาออก (เราติดต่อคนสำคัญมาก)

            การถ่วงน้ำหนักมีผล: เส้นเชื่อมที่มีน้ำหนัก 3 จะสำคัญกว่าเส้นเชื่อมไม่มีน้ำหนัก 3 เท่า

            การเชื่อมโยง (Link)

            เส้นที่เชื่อมระหว่างหน่วย แสดงในรูปแบบ: ชื่อหน่วย A → ชื่อการเชื่อมโยง → ชื่อหน่วย B

            ความเป็นศูนย์กลางแบบระหว่างของการเชื่อมโยง (Link Betweenness)

            วัดว่ามีเส้นทางสั้นที่สุดกี่เส้นที่ผ่านเส้นเชื่อมนั้น

            • เส้นเชื่อมที่มีค่านี้สูง = เป็นเส้นทางสำคัญที่ข้อมูลต้องผ่าน

            การถ่วงน้ำหนัก (Weighting)

            ค่าที่กำหนดให้แต่ละเส้นเชื่อม เพื่อแสดงความสำคัญหรือความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์

            👉Reference – ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ มาจากคู่มือ Analyst’s Notebook : Social Network Analysis